แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยข้อ 2 ถึงข้อ 6 จึงเป็นฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อ 1 ที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่ใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 1 เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และได้เคยยกขึ้นไว้เป็นข้อต่อสู้ในคำให้การแล้วแต่จำเลยไม่อาจยกปัญหานี้ขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ เพราะทนายจำเลยได้สละประเด็นดังกล่าวโดยพละการโดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยแต่อย่างใด ส่วนฎีกาข้อ 2 ถึงข้อ 6จำเลยขอประทานอนุญาตจากศาลอุทธรณ์ได้โปรดอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย โปรดรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาและหากศาลกรุณารับฎีกานี้แล้วขอได้โปรดทุเลาการบังคับคดี ตามคำร้องด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
สืบเนื่องจากโจทก์จำเลยท้ากันว่า ให้ส่งเอกสารสัญญากู้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของกรมตำรวจตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อในช่องผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ ถ้าผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์แล้วยืนยันว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยหรือมีลักษณะคล้ายคลึงกันน่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลเดียวกัน จำเลยยอมแพ้ยอมชดใช้เงินตามฟ้องให้โจทก์ภายใน 1 เดือน แต่ถ้ายืนยันว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยหรือผู้เชี่ยวชาญไม่อาจยืนยันได้ โจทก์ขอยอมแพ้โจทก์จำเลยไม่สืบพยานกันต่อไป และต่อมาผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้ตรวจพิสูจน์แล้วลงความเห็นว่าน่าจะเป็นลายมือชื่อของคนคนเดียวกันจำเลยขอยอมแพ้ตามคำท้า
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 48,375 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีคิดจากต้นเงิน 45,000 บาทนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 63)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 65)
คำสั่ง
คดีนี้โจทก์จำเลยตกลงท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามคำท้าแล้ว ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาเช่นว่านี้เว้นแต่จะเข้าเหตุตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ฎีกาของจำเลยไม่เข้าเหตุตามข้อยกเว้นดังกล่าวแล้ว จึงรับไว้พิจารณาไม่ได้ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ