แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2(ก) และ(ข) เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นมาว่ากันแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225 ส่วนฎีกาข้อ 2(ค) เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2(ก)และ(ข) เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นก็ฎีกาได้ไม่ต้องห้ามฎีกาแต่อย่างใดส่วนฎีกาข้อ 2(ค)นั้นถ้าหากศาลฎีกาได้ยกฎีกาข้อ2(ก)และ(ข)ขึ้นวินิจฉัยแล้ว แม้เป็นฎีกาข้อเท็จจริงที่ต้องห้าม ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงรวมทั้งข้อดุลพินิจในการกำหนดโทษต่อไปได้ด้วย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 36)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,75,76,102,4,7 ฯลฯจำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปีเนื่องจากกัญชาของกลางมีจำนวนมากจึงไม่รอการลงโทษให้ ของกลางริบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 33,35)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 36)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อ 2(ก)และ(ข) เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนฎีกาข้อ 2(ค) ที่ขอให้รอการลงโทษ นั้นเป็นฎีกาเกี่ยวแก่ดุลพินิจของศาล จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง