แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แต่เป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์และไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนฎีกาข้อ 2.2 เป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจของศาลจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยจำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย และเป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีแม้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ก็ตามคู่ความย่อมฎีกาหรือศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และข้อ 2.2 ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91,291 ฯลฯ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43,78,157,160,32 ฯลฯ สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 43,157 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 6 ปี ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 78,160วรรค 2 จำคุก 2 เดือน รวม 2 กระทง ให้จำคุก 6 ปี 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี 1 เดือน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 34แผ่นที่ 3)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 35)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงวิ่งแข่งคู่กันมากับรถยนต์อีกคันหนึ่ง จำเลยเห็นผู้ตายเดินข้ามถนนและสามารถหยุดหรือชลอรถได้ แต่จำเลยไม่กระทำ ฟ้องโจทก์จึงบรรยายการกระทำของจำเลยโดยประมาทไว้ครบถ้วนแล้ว ดังนั้นข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่บรรยายถึงความเร็วของรถเท่าใด อยู่ในทางเดินรถช่องใด แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงส่วนฎีกาข้อ 2.2 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการลงโทษของศาลจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง