คำสั่งคำร้องที่ 1245/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์สืบทราบว่า จำเลยที่ 2 ยังมีที่ดินอีก 1 แปลง ที่จะต้องยึดมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 3290ตำบลบึงบาใต้ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งปัจจุบันได้โอนเป็นชื่อนายปัญจนาถพระเนตร ทางมรดกแล้ว แต่ด้วยเหตุที่จำเลยทั้งสามขอทุเลาการบังคับไว้ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ชั่วคราว เพื่อรอฟังคำสั่งศาลฎีกา โจทก์จึงไม่อาจดำเนินการกับที่ดินแปลงดังกล่าวได้ในระหว่าง รอคำวินิจฉัยของศาลฎีกา จำเลยอาจจะจำหน่ายหรือโอนเปลี่ยนมือไป จะทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถยึดมาชำระหนี้ได้ โปรดมีคำสั่ง ให้คุ้มครองสิทธิของโจทก์ไว้ชั่วคราวก่อน โดยมีคำสั่งยึด หรืออายัดที่ดินแปลงดังกล่าวไว้ชั่วคราวก่อนศาลฎีกามีคำพิพากษา
หมายเหตุ จำเลยทั้งสามยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 2 ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ศาลชั้นต้น อนุญาต (อันดับ 185,187)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชี 11,196,439.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่มีการหักทอนบัญชี (25 สิงหาคม 2530) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (24 มิถุนายน 2531) ต้องไม่เกิน 1,398,788.04 บาท ตามที่โจทก์ขอ ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้รับมรดกความของ จำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระหนี้ขายลดเช็คเป็นเงิน 3,533,087.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 1,493,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 16073,16074 ตำบลบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ดินโฉนดเลขที่ 9480 ตำบลคอหงษ์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ดินโฉนดเลขที่ 619 ตำบลคูหาสวรรค์อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง และที่ดินโฉนดเลขที่ 2885 ตำบลปาเสมัส อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส รวม 5 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระโจทก์หากไม่พอ ชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาด เอาเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 3ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 3 ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ร่วมกันชำระหนี้ค่าขายลดเช็คเป็นเงิน 3,533,087.68 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน1,493,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์ที่จำนองไว้ตามฟ้องออกขายทอดตลาด เอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในสัญญาจำนอง แต่ละฉบับพร้อมดอกเบี้ยให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้บังคับ จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และสัญญาค้ำประกันเสียทั้งหมด แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้อง ในส่วนนี้มายื่นใหม่ภายในกำหนดอายุความ นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา (อันดับ 72)
จำเลยทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา(อันดับ 82,109)
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับและขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์ไว้ก่อน (อันดับ 81,108) ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ให้งดการบังคับคดีของโจทก์ไว้ก่อนจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่ง เกี่ยวกับคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีของจำเลยทั้งสามศาลฎีกาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับแล้ว (คำร้องที่ 621/2537)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว ให้ส่งศาลฎีกาพิจารณาสั่ง (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 1)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลฎีกาได้มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี โดยให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักทรัพย์ที่จำนองเป็นประกัน ถ้าเพียงพอกับจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 กับดอกเบี้ยนับถึงวันฟังคำสั่งและต่อไปอีก 2 ปี ก็อนุญาต ให้ทุเลาการบังคับจำเลยทั้งสามในระหว่างฎีกา หากเห็นว่าไม่เพียงพอ ก็ให้จำเลยทั้งสามหรือคนใดคนหนึ่งหาหลักประกันมาเพิ่มให้เพียงพอ ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควร มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง ตามคำสั่ง ดังกล่าว จำเลยทั้งสามจะได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี ก็ต่อเมื่อมีหลักทรัพย์เป็นประกันเพียงพอต่อการชำระหนี้ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิขอคุ้มครอง ชั่วคราวยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 2 อีก แต่หากจำเลยทั้งสาม ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฎีกาที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี โจทก์ก็สามารถขอบังคับคดีได้ทันทีเช่นกัน หาจำต้อง ขอคุ้มครองชั่วคราวอีก ไม่ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

Share