คำสั่งคำร้องที่ 480/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษา2 คน พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองฎีกา ผู้พิพากษาคนเดียวมีคำสั่งว่า คดีไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง ต่อมาศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า การพิจารณาคำร้องขอให้รับรองฎีกานั้นจะต้องมีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์สองคนเป็นองค์คณะพิจารณาแต่ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ปรากฏว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เพียงคนเดียวเป็นผู้พิจารณาสั่งคำร้องของ จำเลย ทั้งที่ตามคำร้องดังกล่าวได้ขอให้ผู้พิพากษาทั้งสองคนรับรองฎีกาดังนั้นคำสั่งเรื่องรับรองฎีกาจึงไม่ถูกต้องตามกระบวนวิธีพิจารณาความ และศาลชั้นต้นควรรอการสั่งฎีกาไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลคำสั่งการรับรองฎีกาของจำเลย โปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งของผู้พิพากษาที่ไม่รับรองฎีกาแล้วให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อีกคนหนึ่งพิจารณารับรองฎีกาของจำเลยด้วยและให้กลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยให้ศาลชั้นต้นรอฟังคำสั่งเกี่ยวกับการขอรับรองฎีกาของจำเลยต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 201)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1777 ตำบลชะอำอำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรีให้โจทก์เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวาตามกรอบเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้แก่โจทก์หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองฎีกา ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์คนเดียวมีคำสั่งไม่รับรองฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 184,181,187)
จำเลยจึงยื่นคำร้องสอบฉบับนี้ (อันดับ 190,192)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การพิจารณาคำร้องขอให้รับรองฎีกานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ได้บัญญัติถึงข้อยกเว้นของคดีที่ต้องห้าม ฎีกาในข้อเท็จจริง จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ต้องเป็นกรณีที่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลอุทธรณ์ได้มีความเห็นแย้ง หรือผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นก็ดี ศาลอุทธรณ์ก็ดีได้รับรองไว้หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควรจะฎีกาได้ ฯลฯซึ่งในการสั่งคำร้องดังกล่าว เป็นอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 21(2) หาจำต้องประกอบด้วยองค์คณะของการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีไม่ เมื่อตามคำร้องขอให้รับรองในข้อเท็จจริงเป็นการขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทั้งสองคนรับรองนั้นไม่เป็นการแน่ชัดว่าจะขอให้คนใดรับรอง ดังนั้นการที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์คนใดคนหนึ่งได้พิจารณาคำร้องของ จำเลยแล้วก็ต้องถือว่าได้พิจารณา คำขอตามคำร้องนั้นเป็นการครบถ้วนแล้ว การที่นายอำนวย หมวดเมืองผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์คนเดียวมีคำสั่งดังกล่าวจึงชอบแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องส่งไปให้ผู้พิพากษาคนอื่นพิจารณาสั่งอีก และเมื่อฎีกาของจำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงและไม่มีการรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้และแม้จะมีคำร้องของจำเลยลงวันที่ 17 ธันวาคม 2536 ขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อีกคนหนึ่งรับรองฎีกาของจำเลยก็ตาม แต่ก็เป็นการขอให้รับรอง เมื่อล่วงเลยกำหนดระยะเวลาที่จะฎีกาได้ ดังนี้การที่ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้วเช่นกันให้ยกคำร้อง คืนค่าคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่เสียเกิน 160 บาทให้จำเลย และคืนค่าขึ้นศาลในส่วนของคำฟ้องฎีกาให้จำเลยทั้งหมดด้วย

Share