คำสั่งคำร้องที่ 1085/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยที่ถูกเป็นโจทก์ยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โดยคดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาทซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 โดยมีนายเสนกเป็นผู้กรอกข้อความในหนังสือสัญญาดังกล่าวด้วยความสมัครใจของจำเลยก็ไม่ทำให้หลักฐานการกู้ยืมเงินที่สมบูรณ์แล้วเป็นหนังสือสัญญาปลอม และเมื่อจำเลยเบิกความว่าจำเลยไม่เคยเซ็นชื่อในเอกสารดังกล่าว ลายเซ็นในช่องผู้กู้ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลยแต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยได้ลงชื่อในสัญญากู้ถึง 3 แห่ง เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีขัดต่อข้อเท็จจริงในสำนวน ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปหมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 36,250 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 25,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 52)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 51)

คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าสัญญากู้ตามฟ้องจำเลยได้ทำขึ้นไว้จริง โจทก์ฎีกาว่านายเสนกกรอกข้อความในสัญญากู้ด้วยความสมัครใจของจำเลยถือได้ว่าจำเลยทำสัญญากู้ให้ไว้จริง จึงเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และที่ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยลงลายมือชื่อไว้ในสัญญากู้ 3 แห่งเป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ขัดต่อกฎหมายเพราะจำเลยเบิกความว่าจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ นั้นเป็นการฟังข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของจำเลยชั้นตอบโจทก์ถามค้านประกอบเข้าด้วยกัน แล้วเชื่อว่าน่าจะเป็นดังที่จำเลยนำสืบ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกเช่นเดียวกัน ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความแพ่งมาตรา 248 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ

Share