แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาจำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายในเรื่องที่ศาลพิจารณาพิพากษาโดยไม่รับฟังพยานทั้งสองฝ่ายแต่กลับไปรับฟังพยานหลักฐานฝ่ายเดียวในการปรับข้อเท็จจริงลงโทษจำเลยที่ 2 จึงเป็นการขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่สำคัญเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 121)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,357 พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นควรวางโทษลดหลั่นกันโดยให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 120)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 121)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 2มิได้เป็นตัวการร่วมทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 เพราะโจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ทำผิดก็ดี ศาลมิได้หยิบยกคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่ว่าไม่รู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาโดยการกระทำผิดก็ดี และว่าศาลใช้ดุลพินิจในความรู้สึกไม่ได้ใช้ดุลพินิจของพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 2 ก็ดี เป็นฎีกาในเรื่องดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง