คำสั่งคำร้องที่ 2174/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า การพิจารณาทุนทรัพย์ในการฎีกาต้องพิจารณาทุนทรัพย์ของโจทก์จำเลยแต่ละคนในเมื่อเป็นมูลหนี้ที่แบ่งแยกกันได้ เมื่อคดีของโจทก์จำเลยแต่ละคนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่ถึงสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้ โจทก์มิได้แยกฟ้องจำเลยทั้งเก้าเป็นคนละสำนวนต่างหากจากกัน ฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยทั้งเก้า ออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นที่ดินแปลงหนึ่งอันไม่สามารถ แบ่งแยกได้ ถือได้ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ขอให้จำเลยทั้งเก้า คืนทรัพย์สินให้โจทก์รวมกันโดยมิได้แบ่งแยกกันจึงไม่ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 486)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินของจำเลยทั้งเก้าตามโฉนดเลขที่ 1369,1370,1371,412,620,408,680,11957,2147 ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดิน ตามโฉนดทั้งเก้าแปลงเป็นที่ดินศาสนสมบัติของวัดโขดทิมธาราม และพิพากษาให้เพิกถอนทำลายโฉนดทั้งเก้าแปลงดังกล่าว ของจำเลยทั้งเก้าให้จำเลยทั้งเก้าและบริวารขนย้ายทรัพย์สิน ของตนออกไปจากที่พิพาท และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องในที่พิพาทอีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 477)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 481)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว หนี้ที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยทั้งเก้าเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้จึงต้องถือทุนทรัพย์แยกจากกันตามรายตัวจำเลย โจทก์ประเมินราคาทุนทรัพย์ที่ดินโจทก์ไว้ไร่ละสองหมื่นบาท จำเลยรายที่โจทก์อ้างว่ายึดถือที่พิพาทมากที่สุดมีเนื้อที่ไม่เกินสามไร่ ซึ่งคำนวณเป็นจำนวนทุนทรัพย์ไม่ถึงสองแสนบาท จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

Share