แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงไม่รับฎีกา ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา แก้ไขอัตราโทษ และฐานความผิดเป็นการแก้ไขมาก คดีจึงมิต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคแรก,66 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 10 ปีรวมจำคุก 20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 10 ปี ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคแรก จำคุก 10 ปีลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลย ต่างฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ และไม่รับฎีกาของจำเลย (อันดับ 56,51)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 ให้รวมสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 55)
คำสั่ง
จำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2536 และตามแบบพิมพ์ท้ายฎีกามีข้อความว่า “รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอ ให้ถือว่าทราบแล้ว” ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในวันนั้นเอง ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันนั้น จำเลยเพิ่งยื่นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2536 พ้นกำหนด สิบห้าวันนับแต่วันฟังคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 จึงต้องห้าม ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย