แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท แม้เป็นคดีฟ้องขับไล่แต่ตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็อ้างว่าจำเลยทั้งสองขาดประโยชน์ในที่พิพาทปีละ 4,000 บาท จึงพอถือได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง รับฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 เฉพาะในประเด็นว่าฟ้องโจทก์ เคลือบคลุมหรือไม่ส่วนประเด็นอื่นเห็นว่าเป็นปัญหา ข้อเท็จจริงจึงไม่รับ
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาทั้งหมดของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทจำนวน 16 ไร่ ดีกว่าจำเลยทั้งสอง ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่พิพาท และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 6,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 104)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 110)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาที่จำเลยทั้งสองขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับ ล้วนแต่โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง