คำสั่งคำร้องที่ 1482/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เมื่อผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาไม่รับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริง จึงไม่มี ข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายทำให้ข้อกฎหมาย ที่ฎีกาไม่เป็นสาระแก่คดี ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่จำเลยบุกรุกโดยไม่ได้เรียกค่าเสียหาย เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ และฎีกาที่ว่า จำเลยไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องทำประโยชน์ใด ๆในที่ดินของโจทก์ เพียงแต่จำเลยไปยืม ส.ค.1 ของบุคคลอื่นที่เจ้าของได้นำมาขอออก น.ส.3 ไว้แล้วมาแจ้งขอรังวัดต่อเจ้าพนักงานและนำชี้รังวัดเข้ามาในที่ดินโจทก์เพียงครั้งเดียว ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินโจทก์ศาลชั้นต้นตีความตามกฎหมายที่ผิดพลาดนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งไม่รับรองฎีกาและให้รับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 161) โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยและบริวารถอนต้นปาล์มออกไป จากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ของโจทก์ เลขที่ 24 ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลบางสวรรค์ อำเภอพระแสงจังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ และห้ามจำเลย และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา ปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับรองให้ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 143,142) โจทก์จึงยื่นคำร้อง (อุทธรณ์) นี้ ศาลฎีกามีคำสั่งรายงานกระบวนพิจารณาให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาให้จำเลยและสอบถามว่าโจทก์ประสงค์จะยื่นคำร้อง (อุทธรณ์) ต่อศาลใด ศาลชั้นต้นสั่งสำเนาคำร้องให้จำเลยแล้วและสอบถามโจทก์ ได้ความว่าโจทก์ประสงค์จะยื่นคำร้อง (อุทธรณ์) ต่อศาลฎีกา (อันดับ 151,155,159)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 นั้น เป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับรองฎีกาต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยและบริวารทำการรื้อถอนต้นปาล์มออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป จำเลยยื่นคำให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องทำประโยชน์ใด ๆ ในที่ดินของโจทก์นั้น เป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3รับฟังเป็นยุติว่าจำเลยได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้วจึงเป็นการเถียงข้อเท็จจริงเพื่อที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง

Share