แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น การที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า คดีของจำเลยศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษ จำคุกจำเลย 15 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้มีคำพิพากษา แก้เป็นพิพากษาลงโทษจำคุก 5 เดือนเป็นการแก้ไขมาก จึงไม่ต้อง ห้ามฎีกา และฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายถึงแม้จะเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง แต่ก็เป็นปัญหาที่สำคัญที่จะต้องนำไปพิจารณา เป็นหลักในการวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายในคดีที่ศาลฎีกาควรจะ รับไว้พิจารณากลั่นกรองอีกครั้งหนึ่งโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาแล้ว (อันดับ 43) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27,27 ทวิ, พระราชบัญญัติ ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 6 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 4,6,11,22,23 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 มาตรา 3,4,5,10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33,91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงความผิดกระทงแรกฐานนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียภาษีหรือผ่านพิธีการ ศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรจำคุก 1 ปี กระทงที่สองฐานมี เครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน กระทงที่สามฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดย ไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน กระทงที่สี่ฐานตั้งสถานีวิทยุ คมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 18 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 15 เดือน ริบของกลางเพื่อไว้ใช้ในราชการ กรมไปรษณีย์โทรเลข โดยให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษ ของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 258/2537 ของศาลนี้ ส่วนข้อหาช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใด ๆ ซึ่งของอันควรรู้ว่าเป็น ของนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ให้ยกฟ้องเสีย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ให้ลงโทษ จำคุกจำเลยฐานนำหรือพาของยังมิได้เสียภาษีหรือผ่านพิธีการ ศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร จำคุก 4 เดือน ฐานมี เครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 เดือน ฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 เดือน และฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 เดือน รวมลงโทษจำคุก 10 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 30) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลย 4 กระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน,3 เดือน,3 เดือน และ 3 เดือน เรียงกระทงลงโทษรวมจำคุก 15 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แก้อัตราโทษเป็นให้จำคุก 2 เดือน,1 เดือน และ 1 เดือน เรียงกระทงลงโทษรวมจำคุก 5 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่จำเลยในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษ จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ไม่ถูกต้องนั้น เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี เพราะโจทก์ฟ้องขอให้ ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 โดยชัดแจ้งแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพ และมิได้ยกปัญหานี้ ขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงต้องห้ามมิให้ ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคหนึ่งประกอบด้วย มาตรา 225 ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง