คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อเกลือจากจำเลยชำระเงินแล้วแต่ยังไม่ได้รับเกลือไป จำเลยทำผิดสัญญาโดยเอาเกลือส่วนหนึ่งไปขายให้แก่ทางราชการทหารโจทก์กล่าวในฟ้องว่า “โจทก์ยินยอมไม่ว่ากล่าวในจำนวนเกลือที่จำเลยขายให้แก่ทางราชการทหารแต่จะขอรับเงินเท่าที่จำเลยขายให้แก่ทางราชการทหาร” ดังนี้ ถือว่า โจทก์ติดใจจะเอาค่าเสียหายแก่จำเลยโดยถือเอาราคาที่จำเลยขายให้แก่ทางราชการทหารเป็นราคาที่จะคำนวณค่าเสียหายให้แก่โจทก์
โจทก์จำเลยมีสัญญาต่อกัน ค่าปรับที่โจทก์ต้องเสียให้แก่บุคคลภายนอกเนื่องจากจำเลยทำผิดสัญญาต่อโจทก์ เป็นกรณีเกิดจากพฤติการณ์พิเศษ โจทก์ไม่แจ้งให้จำเลยทราบว่าโจทก์จะไปทำสัญญากับบุคคลภายนอก จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าปรับนั้น
การคำนวณค่าเสียหายในกรณีมีการทำผิดสัญญานั้น ไม่ใช่ถือเอาจำนวนค่าเสียหายที่ผู้ทำผิดสัญญาได้คาดหรืออยู่ในฐานะจะคาดได้ในเวลาทำสัญญาอย่างเดียวหากเป็นค่าเสียหายในขณะผิดสัญญา ซึ่งผู้กระทำผิดสัญญาย่อมคาดได้หรืออยู่ในฐานะจะคาดได้ว่า การที่ตนกระทำผิดจะเป็นผลให้เกิดการเสียหายแก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งอย่างใดแล้วก็ต้องรับผิดในค่าเสียหายนั้นตามมาตรา 222
ดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดผลกำไร ศาลเห็นสมควรจะให้คิดตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จก็ได้

ย่อยาว

ความว่า นายสมพรทิพย์ รัตนวราหะ สมุห์บัญชีบริษัทจำเลย ซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ให้กระทำการแทนผู้จัดการตามข้อบังคับได้ตกลงขายเกลือให้โจทก์ 27 เกวียน เป็นเงิน 4,725 บาท โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยเสร็จแล้วนายสมพรทิพย์ได้สัญญากับโจทก์ว่าโจทก์จะไปขนเกลือเมื่อใดก็ได้ โจทก์ได้ขนเกลือไปแล้ว 4 เกวียน 55 ถัง โจทก์ได้บอกนายสมพรทิพย์ว่า โจทก์จะมาขนเกลือที่เหลือในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2488 และจะไปทำสัญญาขายเกลือให้แก่ผู้มีชื่อที่จังหวัดสุโขทัย นายสมพรทิพย์ก็ตกลงในวันที่ 20 มกราคม 2488 โจทก์ได้ทำสัญญาขายเกลือให้แก่นายประเทืองวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2488 โจทก์ไปขนเกลือจากจำเลย นายสมพรทิพย์บอกว่า ได้เอาเกลือของโจทก์ไปแบ่งขายให้ทางราชการทหารไป 10 เกวียน 43 ถังราคาเกวียนละ 300 บาท ยังเหลืออีก 12 เกวียน2 ถัง ก็ไม่มีจ่ายให้เพราะได้จ่ายให้บุคคลอื่นหมดแล้ว โจทก์ยินยอมไม่ว่ากล่าวในจำนวนเกลือที่ขายให้แก่ทางราชการทหาร แต่จะขอรับเงินเท่าที่จำเลยขายให้แก่ทางราชการทหารกับขอขนเกลือที่ยังเหลือ 12 เกวียน 2 ถัง นายสมพรทิพย์ไม่ยอม โจทก์จึงฟ้อง

1. ให้จำเลยคืนเงินราคาเกลือ 12 เกวียน 2 ถัง ราคาเกวียนละ 175 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่ 8 มกราคม 2488

2. ให้ชำระเงินค่าเกลือที่ขายแก่ทางราชการทหารเกวียนละ 300 บาทและดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2488

3. ใช้เงินค่าปรับที่โจทก์ชำระให้แก่นายประเทือง 1,500 บาท ราคาเกลือในจังหวัดสุโขทัยในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2488 เกวียนละ 750 บาท โจทก์ได้กำไรเกวียนละ 375 บาท (หักค่าจ้างล้อแล้ว) ในจำนวนเกลือ 12 เกวียน 2 ถัง ค่าจ้างล้อค่ารถยนต์โดยสารและค่าป่วยการรวมทั้งสิ้นทุกรายการในข้อนี้เป็นเงิน 8,367 บาท 50 สตางค์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเกลือที่โจทก์ยังไม่ได้รับ 22 เกวียน 45 ถัง เป็นเงิน 3,928 บาท 75 สตางค์ กับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2488 เป็นต้นไปและใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องขาดกำไรอันควรจะได้ในการขายเกลือ 1,502 บาท 50 สตางค์ และดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป นอกจากนี้ให้ยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าเกลือที่จำเลยเอาไปขายให้แก่ทางราชการทหาร เพราะเกลือยังเป็นของจำเลยค่าปรับที่ต้องเสียให้แก่นายประเทืองก็เกิดจากพฤติการณ์พิเศษโจทก์บอกจำเลยแต่เพียงว่าจะนำไปขายที่จังหวัดสุโขทัย ไม่ได้บอกว่าไปทำสัญญากับใคร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบ แต่จะต้องคิดผลกำไรตามราคาเกลือในจังหวัดสุโขทัยที่โจทก์ขาดไปให้แก่โจทก์ และเมื่อโจทก์ได้ผลอันคำนวณจากกำไรเช่นนี้แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างเกวียน ค่าโดยสารรถยนต์ ค่าที่พักและค่าป่วยการใด ๆ อีก เพราะก่อนที่จะมีผลกำไร ต้องคิดหักค่าเหล่านี้ออกแล้ว พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ค่าขาดผลกำไร ในจำนวนเกลือ 12 เกวียน 2 ถัง เป็นเงิน 4,507 บาท 50 สตางค์ ให้แก่โจทก์นอกนั้นยืน

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า (1) ฟ้องของโจทก์กล่าวว่า “โจทก์ยินยอมไม่ว่ากล่าวในจำนวนเกลือที่จำเลยขายให้แก่ทางราชการทหารแต่จะขอรับเงินเท่าที่จำเลยขายให้แก่ทางราชการทหาร” ไม่ได้หมายความว่า โจทก์จะไม่ติดใจจะว่ากล่าวเอากับจำเลย สำหรับจำนวนเกลือที่ขายให้แก่ทางราชการทหาร ข้อที่โจทก์ขอรับเงิน แสดงว่าโจทก์ติดใจจะเอาค่าเสียหายจากจำเลย ซึ่งโจทก์ขอค่าเสียหายจากจำเลยเท่ากับราคาที่จำเลยขายให้แก่ทางราชการทหาร ทั้งนี้ถือเอาราคาที่จำเลยขายให้แก่ทางราชการทหารเป็นราคาที่จะคำนวณค่าเสียหายให้แก่โจทก์ และโจทก์ฟ้องเช่นนี้ได้ แม้กรรมสิทธิ์ในเกลือยังไม่ผ่านมายังโจทก์ก็ตาม ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

2 ค่าปรับที่โจทก์ต้องเสียให้แก่นายประเทือง 1,500 บาท ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์บอกแก่จำเลยเพียงว่าจะเอาไปขายที่จังหวัดสุโขทัยเช่นนี้ จะให้จำเลยเข้าใจไปว่า โจทก์จะต้องไปทำสัญญาขายให้ใครล่วงหน้านั้นยังไม่ได้ เพราะโจทก์อาจส่งเกลือไปจังหวัดสุโขทัยไปหาผู้ซื้อในภายหลังก็ได้ ศาลล่างไม่ให้ค่าเสียหายข้อนี้ชอบแล้ว

3. ในข้อที่ขอค่าล้อ 2,310 บาท ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าเสียหายที่ศาลจะให้แก่โจทก์นี้ คือผลกำไรที่โจทก์จะได้รับ แต่ไม่ได้รับเพราะจำเลยผิดสัญญาที่จะเป็นผลกำไรก็ต้องเป็นจำนวนเงินที่หักค่าใช้จ่ายออกแล้ว ค่าล้อเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง ถ้าหากจำเลยส่งมอบเกลือให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์จะเอาไปขาย โจทก์ก็ต้องเสียค่าล้อเช่นเดียวกันเหตุผลข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

4. โจทก์ขอให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงิน 4,507 บาท 50 สตางค์ที่ศาลอุทธรณ์แก้ให้นั้น สำหรับข้อเสียหายในการขาดกำไรนี้ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ให้โจทก์เป็นจำนวน 1,502 บาท 50 สตางค์กับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่ง นับแต่วันฟ้องจนชำระเสร็จ ศาลอุทธรณ์แก้จำนวนค่าเสียหายนี้เป็น 4,507 บาท 50 สตางค์ นอกนั้นยืนศาลฎีกาจะพิพากษาให้เป็นที่ปราศจากความสงสัยต่อไป

5. จำเลยฎีกาว่า การคำนวณค่าเสียหาย ควรคิดราคาเกลือในจังหวัดพิษณุโลก ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จำเลยทำสัญญากันที่จังหวัดพิษณุโลก และในเมื่อทำสัญญาไม่มีอะไรแสดงว่า ทั้งสองฝ่ายรู้หรือควรจะรู้ว่าโจทก์จะเอาเกลือไปขายจังหวัดสุโขทัยแต่เมื่อตอนโจทก์จะมารับเกลือที่ค้างอันเป็นเหตุให้ฟ้องกันนี้ โจทก์บอกจำเลยในวันที่ 29 มกราคม 2488 ว่า โจทก์จะนำเกลือที่ขนนี้ไปขายที่จังหวัดสุโขทัย และตกลงจะมาขนในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2488 ครั้นวันนัด โจทก์มาขอรับ จำเลยไม่มีเกลือให้ ก็ต้องถือว่าจำเลยผิดสัญญาโดยรู้อยู่แล้วว่า การทำผิดสัญญาก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่โจทก์โดยต้องขาดกำไรคิดตามราคาเกลือในจังหวัดสุโขทัยจึงชอบที่จะเอาราคาเกลือในจังหวัดสุโขทัยเป็นมาตรฐานในการคำนวณค่าเสียหาย กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 กล่าวคือเมื่อได้มีการผิดสัญญา โดยขณะผิดสัญญา คู่สัญญาผู้กระทำผิดสัญญาย่อมคาดหมายได้หรืออยู่ในฐานะคาดได้ว่าการที่ตนกระทำผิดจะเป็นผลให้เกิดการเสียหายขึ้นแก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งอย่างใดแล้ว ก็ต้องรับผิดในค่าเสียหายนั้น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายคือราคาเกลือ 10 เกวียน 43 ถัง ราคาเกวียนละ 300 บาท และดอกเบี้ยในจำนวนเงินนี้ในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2488 จนกว่าชำระเสร็จ ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดผลกำไรในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะใช้เสร็จ นอกนั้นยืนตาม

Share