แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลจำต้องพิเคราะห์คำพยานประกอบกันทั้งหมดแล้ววินิจฉัยตามเหตุผลที่ควรจะเป็นจริง จะถือเอาคำพยานของโจทก์เพียงบางปากที่เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อคำฟ้องของโจทก์ขึ้นชี้ขาดนั้นหาควรไม่
เจ้าทรัพย์และบุตรเบิกความในชั้นศาลว่าเกิดเหตุวันแรม2 ค่ำแต่คำพยานปากอื่นๆ ของโจทก์ตลอดจนพนักงานสอบสวนผู้สอบสวนภายหลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ก็ว่าประจักษ์พยานของโจทก์ทุกปาก ยืนยันในชั้นสอบสวนว่า เหตุเกิดวันแรม 1 ค่ำตรงกับฟ้องทั้งนั้น ดังนี้ ย่อมฟังได้ว่า เกิดเหตุวันแรม 1 ค่ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 11 กันยายน (ตรงกับแรม 1 ค่ำ เดือน 10) พ.ศ. 2489 เวลากลางวันจำเลยบังอาจชิงทรัพย์ของนางแช่มรักเอี่ยมไปรวมราคา 162 บาทขอให้ลงโทษ
จำเลยปฏิเสธต่อสู้อ้างฐานที่อยู่
ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วสั่งงดไม่สืบพยานจำเลยโดยวินิจฉัยว่าประจักษ์พยานโจทก์ 3 ปาก เบิกความว่า เกิดเหตุวันแรม 2 ค่ำ เดือน 10 ผิดจากวันในฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปให้สิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จะถือเอาคำพยานโจทก์เพียงบางปากที่เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อคำฟ้องของโจทก์ขึ้นชี้ขาดนั้นหาควรไม่ แม้เจ้าทรัพย์และบุตรมาเบิกความว่าเหตุเกิดวันแรม 2 ค่ำ แต่ตามคำพยานปากอื่น ๆ ของโจทก์ตลอดจนพนักงานสอบสวนผู้สอบสวนภายหลังเกิดเหตุเพียง 2 วันก็ว่าประจักษ์พยานโจทก์ทุกปากยืนยันในชั้นสอบสวนว่าเหตุเกิดวันแรม 1 ค่ำ ทั้งสิ้น เมื่อพิเคราะห์ประกอบทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่าเหตุเกิดวันแรม 1 ค่ำ คำของเจ้าทรัพย์ และบุตรในชั้นศาลคงคลาดเคลื่อนโดยผิดหลง จึงพิพากษายืน