คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 นั้นการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ ต้องเป็นกรณีที่กล่าวอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ยึด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นอยู่ด้วย ศาลต้องยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้ปล่อยการยึดเสีย เพราะกรรมสิทธิ์ของเจ้าของร่วม แต่ละคนย่อมครอบไปเหนือทรัพย์สินทั้งหมด จนกว่าจะมีการแบ่งผู้ร้องมีทางที่จะเรียกร้องขอแบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินกู้ให้แก่โจทก์โจทก์นำยึดที่นาอ้างว่าเป็นของจำเลย นายพรผู้ร้อง ร้องว่า ที่นาที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องผู้เดียวโดยผู้ร้องขอให้ศาลปล่อยการยึดศาลชั้นต้นฟังว่านารายนี้เป็นมรดกนางหมา แต่จำเลยกับผู้ร้องและนางสาวพิม นางสาวจันทร์เป็นผู้รับมรดกร่วมยังไม่ได้แบ่ง จึงสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อนานั้นผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย ผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องคัดค้านในส่วนที่เป็นของตนได้ พิพากษากลับว่า โจทก์จะบังคับการชำระหนี้รายนี้ที่เป็นส่วนของผู้ร้องไม่ได้

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288นั้น การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ต้องเป็นกรณีที่กล่าวอ้างว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ยึด แต่คดีนี้ปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นอยู่ด้วย ศาลก็ต้องยกคำร้องของผู้ร้องเสีย เพราะกรรมสิทธิ์ของเจ้าของรวมแต่ละคนนั้นย่อมครอบไปเหนือทรัพย์สินทั้งหมด จนกว่าจะมีการแบ่ง ผู้ร้องย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งตามส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287

พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง ตามศาลชั้นต้น แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิในการเรียกขอให้แบ่งทรัพย์สินของผู้ร้องหรือเจ้าของรวมอื่นใดที่จะดำเนินต่อการบังคับคดีจากทรัพย์สินที่ยึดนั้น

Share