แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยผิดสัญญาให้ใช้ค่าเสียหายจำเลยต่อสู้ว่า โจทก์เป็นผู้ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง เมื่อศาลเห็นว่าต่างฝ่ายต่างผิดสัญญาฝ่ายโจทก์ต้องใช้ให้จำเลยเป็นเงินเหรียญต่างประเทศ ฝ่ายจำเลยต้องใช้ให้โจทก์เป็นเงินบาทและเงินเหรียญ ดังนี้ เป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ โดยทรัพย์สินต่างประเภทอันจะหักทอนกันมิได้ แม้จำเลยจะยกข้อผิดสัญญาขึ้นต่อสู้เพียงให้ยกฟ้องก็ดี ศาลก็ย่อมพิพากษาบังคับได้เพียงเท่าที่ไม่เกินคำขอของโจทก์ คือพิพากษาให้ต่างฝ่ายต่างชำระหนี้แก่กันเป็นเงินตราคนละประเภท แต่สำหรับเงินตราต่างประเทศนั้น ให้คิดแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทเสียตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพฯ เมื่อคำนวณได้เท่าใดให้หักกลบลบกัน ถ้าจำนวนที่จำเลยจะต้องชำระยังเหลืออีกก็ให้จำเลยชำระให้แก่โจทก์จนครบ ถ้าไม่มีเหลือ หรือจำนวนที่โจทก์จะต้องชำระมากกว่า ก็ให้ยกฟ้องโจทก์เสีย
สัญญากันว่าจะชำระหนี้เป็นเงินเหรียญมะลายู และชำระที่สิงคโปร์แต่สถานเดียว ดังนี้ จะต้องชำระหนี้กันเป็นเงินเหรียญมลายู จะชำระเป็นเงินไทยไม่ได้ เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งจะยินยอม มิฉะนั้นย่อมถือว่า ฝ่ายชำระหนี้ผิดสัญญา
หนี้เป็นเงินตราต่างประเทศนั้น เมื่อจะต้องชำระตามคำบังคับของศาลในประเทศไทยก็จะต้องเปลี่ยนเป็นเงินตราของประเทศไทยซึ่ง มาตรา 196 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินในสถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา196 นั้น ย่อมต้องหมายถึงอัตราที่จะแลกเปลี่ยนกันได้โดยเสรี ซึ่งโดยปกติก็คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพฯ
ในกรณีที่จะต้องชำระหนี้กันเป็นเงินตราต่างประเทศนั้นเพื่อสะดวกแก่การบังคับคดี ศาลจะพิพากษาให้ใช้เงินเป็นเงินตราต่างประเทศ หรือมิฉะนั้นให้คิดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้นเป็นเงินไทย โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ฯ ทำการขายเงินตราต่างประเทศเป็นเงินไทยในวันที่มีคำพิพากษา ถ้าไม่มีอัตราการขายในวันนั้น ก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราการขายเช่นว่านั้นก่อนวันพิพากษา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินรวมเป็นเงิน 94,742.04 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องให้แก่โจทก์โดยกล่าวอ้างสรุปได้ว่า จำเลยได้เป็นผู้ผิดสัญญาซื้อขายปูนซิเมนต์ระหว่างโจทก์จำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์เองเป็นผู้ผิดสัญญา จำเลยไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เงินราคาปูนซิเมนต์นี้ แม้เดิมจะกำหนดไว้เป็นเงินเหรียญ และชำระกันที่สิงคโปรก็ดี แต่ภายหลังได้ตกลงเปลี่ยนมาชำระกันที่กรุงเทพฯ ก็ได้ โจทก์จึงมีสิทธิขอชำระหนี้ทั้งสิ้นเป็นเงินบาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196 เมื่อโจทก์ขอชำระหนี้ตามสิทธิดังว่านี้ แต่จำเลยไม่ยอมรับ และไม่ยอมมอบปูนซิเมนต์ที่ยังเหลือ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และคิดโดยอัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญ ต่อ 4 บาท 77 สตางค์ดังฟ้อง พิพากษาให้จำเลยคืนเงินและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 9,474 บาท 04 สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เรื่องจำนวนเงินเฉพาะที่ให้จำเลยคืน (1) เงินวางประกันเพียง 20,686 บาท 27 สตางค์ (2) เงินค่าภาษีและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพียง 20,395 บาท 63 สตางค์ นอกจากที่แก้ไขนี้แล้วคงยืน
โจทก์และจำเลยต่างฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีเรื่องนี้ได้มีความตกลงต่อกันไว้สามครั้ง คือ ครั้งแรกเป็นสัญญาซื้อปูนซิเมนต์ที่สิงคโปร์ ตันละ 76 เหรียญสหรัฐมะลายู จะชำระที่สิงคโปร์หรือที่กรุงเทพฯ ก็ได้ต่อมาเนื่องจากเกิดขัดข้องต่าง ๆ โจทก์จำเลยจึงทำสัญญากันขึ้นอีกฉบับหนึ่งที่กรุงเทพ ฯ โดยตกลงจำนวนราคาสิ่งของกันใหม่ คือโจทก์ยอมชำระเงินค่าปูนซิเมนต์โดยหักเงินที่ชำระแล้ว และหักเงินที่จำเลยยอมลดให้ คงต้องชำระอีก 33,577.96 เหรียญ โดยโจทก์สัญญาว่าจะชำระให้เป็นสองงวด ๆ ละเท่า ๆ กัน โดยเงินเหรียญสหรัฐมลายูชำระที่สิงคโปร์ภายในกำหนดเดือนกันยายน 2489 ส่วนกระสอบป่านที่ขาดไป จำเลยยอมติดต่อเรียกร้องและพยายามเรียกร้องค่าเสียหายกับผู้ส่งที่บอมเบย์
ต่อมาสิ้นเดือนกันยายน 2489 โจทก์ก็ยังไม่สามารถชำระหนี้ให้จำเลยให้เสร็จสิ้นได้ โจทก์จำเลยจึงตกลงกันต่อไปว่าปูนซิเมนต์ที่เก็บไว้ในโรงเก็บสินค้าของจำเลยนั้นให้โจทก์ขายไปก่อนได้ แต่ต้องเอาเงินบาทตามราคาที่ขายได้วางไว้เป็นประกันไว้แก่จำเลยตลอดไป จนกว่าโจทก์จะชำระเงินเหรียญให้ได้เท่าใดจึงจะถอนเงินบาทคืนได้
ต่อมาเมื่อปูนซิเมนต์ยังเหลืออยู่ในโรงเก็บสินค้าอีก 135 ตัน โจทก์ได้ขายไปในราคาตันละ 600 บาท และได้สั่งให้จำเลยส่งมอบของส่วนหนึ่งให้ผู้ซื้อ จำเลยไม่ยอมมอบให้โดยเกี่ยงจะเอาเงินประกันตามราคาตลาด ซึ่งเพิ่งขึ้นเป็นราคาตันละ 800 บาท ซึ่งเกิดเป็นคดีพิพาทกันขึ้น
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ทำผิดในข้อตกลงการวางประกันและจ่ายปูนซิเมนต์ตามคำสั่งของโจทก์ จำเลยจะต้องรับผิดในความเสียหายจากการนั้น ซึ่งเมื่อประมวลเข้าด้วยกันแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องชำระเงินให้โจทก์รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 144,295.62 บาท และ 14,032.23 เหรียญสหรัฐมลายู แต่โจทก์ก็ยังมีหน้าที่จะต้องชำระหนี้ คือเงินราคาปูนซิเมนต์ที่ค้างชำระให้แก่จำเลยปรากฏว่าโจทก์ได้ปฏิเสธไม่ยอมชำระหนี้รายนี้เป็นเงินเหรียญสหรัฐมลายู แต่จะชำระให้เป็นเงินบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนของรัฐบาล ศาลฎีกาเห็นว่า แม้สัญญาฉบับแรกจะมีข้อความว่า ชำระราคาเป็นเงินสดชำระได้ที่สิงคโปร์หรือกรุงเทพฯ ก็ดี แต่ในสัญญาฉบับที่ 2 คู่สัญญาได้ตกลงกันเปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว โดยโจทก์สัญญาว่าจะชำระเป็นเงินเหรียญสหรัฐมลายู และชำระเงินที่สิงคโปร์แต่สถานเดียว โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาในข้อนี้ โจทก์ต้องรับผิดเมื่อต่างฝ่ายต่างจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ โดยทรัพย์สินต่างประเภทอันจะหักทอนกันมิได้เช่นนี้ แม้จำเลยจะยกข้อนี้ขึ้นต่อสู้เพียงให้ยกฟ้องโจทก์ก็ดี ศาลย่อมพิพากษาบังคับได้เพียงเท่าที่ไม่เกินคำขอของโจทก์ คือให้โจทก์จัดการชำระหนี้ โดยส่งมอบเงินเหรียญสหรัฐมลายู จำนวน 30,377.96 เหรียญให้แก่จำเลยโดยหักหนี้ที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์เป็นเงินเหรียญ 14,032.23 เหรียญออกเสียก่อน โจทก์คงมีหน้าที่ส่งมอบแต่เพียง 16,345.73 เหรียญให้แก่จำเลย แลหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศนี้ เมื่อจะต้องชำระตามคำบังคับของศาลในประเทศไทย จะต้องเปลี่ยนเป็นเงินตราประเทศไทย ซึ่งมาตรา 196 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินในสถานที่และในเวลาที่ใช้เงินอัตราที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าอัตราของรัฐบาล 1 เหรียญสหรัฐมลายูเท่ากับ 4 บาท 77 สตางค์นั้น มิใช่เป็นอัตราที่จะแลกเปลี่ยนได้ในท้องตลาด ศาลฎีกาเห็นว่าตามความในมาตรา 196 ที่ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินนั้นย่อมต้องหมายถึงอัตราที่จะแลกเปลี่ยนกันได้โดยเสรี และหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระก็ยังคงต้องเป็นเงินเหรียญสหรัฐมลายูตามสัญญา จนกว่าจะถึงเวลาที่โจทก์ปฏิบัติการชำระหนี้ คือส่งมอบเงินเหรียญนั้น แต่เพื่อสะดวกแก่การบังคับคดีซึ่งศาลจะต้องพิพากษาเป็นเงินตราของประเทศ
ศาลฎีกาจึงพิพากษา ณ ที่นี้ว่า ให้โจทก์ส่งมอบเงินเหรียญสหรัฐมลายู 16,345.73 เหรียญให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยชำระเงินตรา144,295.62 บาทให้แก่โจทก์ หรือมิฉะนั้นให้คิดแลกเปลี่ยนเงินเหรียญสหรัฐมลายู 16,345.73 เหรียญนั้นให้เป็นเงินตราของประเทศ โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพฯ ทำการขายเหรียญสหรัฐมลายูเป็นเงินตราของประเทศในวันที่มีคำพิพากษานี้ถ้าไม่มีอัตราการขายในวันนี้ ก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราการขายเช่นว่านั้นก่อนวันพิพากษา เมื่อคำนวณได้เท่าใดให้หักกลบลงกับจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องชำระ เหลือเท่าใดให้จำเลยชำระให้โจทก์เพียงเท่านั้น ถ้าไม่มีเหลือหรือจำนวนที่โจทก์จะต้องชำระมีมากกว่า ก็ยกฟ้องโจทก์เสีย