แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินมือเปล่า ซึ่งเจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครองนั้น เมื่อเจ้าของทำสัญญาจะขายให้ผู้อื่นและมอบที่ดินนั้นให้ผู้ซื้อครอบครองไปแล้วเกิน 1 ปีผู้ขายย่อมหมดสิทธิที่จะเอาคืนอย่างใดอีก เพราะถ้าได้สละหรือถูกรบกวนการครอบครองเกิน 1 ปีแล้ว ก็เอาคืนไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์จำเลยโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทกัน ข้อเท็จจริงคงฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้แก่นายมา ลิ่วจิน ตามสัญญาลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2478 และจำเลยได้สละสิทธิครอบครองให้นายมา ลิ่วจินไปตั้งแต่ พ.ศ. 2478 ถึง 2483 แต่ยังมิได้ทำสัญญาซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์กันต่ออำเภอ และโจทก์ได้เข้าไปอยู่ในที่พิพาทระหว่าง พ.ศ. 2481-2482
โจทก์ฟ้องอ้างว่านายมา ลิ่วจีน ได้ทำสัญญาจะขายและสละสิทธิครอบครองให้โจทก์ ๆ ได้ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา 10 ปีแล้วฝ่ายจำเลยโต้แย้งว่าโจทก์ทอดทิ้งแล้ว จำเลยได้เข้าครอบครองสืบมาตลอดจนบัดนี้
ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน แล้วพิพากษาห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลล่างทั้งสองฟังว่าที่พิพาทเป็นที่มือเปล่าโจทก์จำเลยพิพาทกันแต่สิทธิครอบครอง ฉนั้นข้อที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาระหว่างจำเลยกับนายมา ลิ่วจีน และระหว่างนายมา ลิ่วจีนกับโจทก์มิได้จดทะเบียนก็ดี หรือว่าโจทก์ได้ครอบครองยังไม่ถึง10 ปี ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ก็ดี จึงฟังไม่ขึ้น เพราะจำเลยไม่ได้มีกรรมสิทธิ์มีเพียงสิทธิครอบครอง ซึ่งถ้าได้สละหรือถูกรบกวนเกิน 1 ปีแล้วย่อมยกขึ้นต่อสู้เอาคืนอย่างใดอีกไม่ได้ ข้อที่ว่าโจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดินอย่างไรนั้น ก็ฟังไม่ขึ้นกัน เพราะไม่ทำให้จำเลยกลับได้สิทธิครอบครองอย่างใดขึ้นอีก ส่วนที่ว่า จำเลยได้กลับเข้าครอบครองใหม่ จำเลยมิได้ยกประเด็นขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงไม่มีประเด็นในคดีนี้จะต้องวินิจฉัย