แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำพิพากษาของศาลบังคับให้จำเลยโอนขายนากับเรือนให้โจทก์ถ้าไม่สามารถโอนขายได้จึงให้คืนเงิน ดังนี้ เป็นการกำหนดให้กระทำการชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับ ไม่ใช่เป็นการกระทำหลายอย่างอันลูกหนี้จะพึงเลือกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 198
การที่จำเลยเอาทรัพย์ไปจำนองสหกรณ์ไว้ไม่ทำให้การโอนขายที่ดินและเรือนเป็นอันพ้นวิสัย อันจะเป็นเหตุให้จำเลยยกขึ้นอ้างว่า ไม่สามารถจะโอนขายที่ดินและเรือนได้ฉะนั้นโอกาสที่จำเลยจะขอคืนเงินให้โจทก์ จึงยังไม่อาจเกิดขึ้น
ย่อยาว
คดีนี้ ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยโอนขายนาฟางลอยเนื้อที่ 40 ไร่และเรือน 1 หลังตามฟ้องให้แก่โจทก์ ถ้าไม่สามารถโอนขายได้ ก็ให้จำเลยคืนเงิน 40,000 บาทแก่โจทก์ และให้จำเลยเสียค่าดอกเบี้ยกับค่าฤชาธรรมเนียมให้โจทก์ด้วย
จำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลว่า ไม่สามารถจะโอนขายที่นาและเรือนให้โจทก์ตามคำพิพากษาได้ และจะขอชำระหนี้เป็นเงินสดให้โจทก์ โดยอ้างเหตุผล 2 ประการคือ จำเลยได้นำนาและเรือนไปค้ำประกันหนี้ไว้ในสหกรณ์บ้านหัวบุง ประการหนึ่งและอีกประการหนึ่งจำเลยไม่มีที่นาทำกิน และไม่มีเรือนอยู่
ศาลชั้นต้นสั่งไม่ยอมรับเงินที่จำเลยขอวางนั้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำพิพากษาบังคับให้จำเลย เป็นการกำหนดให้กระทำการชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับ กล่าวคือ ไม่สามารถกระทำอย่างแรกแล้ว จึงให้กระทำอย่างหลัง ไม่ใช่เป็นการกระทำหลายอย่างอันลูกหนี้จะพึงเลือกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 198 การที่จำเลยเอาทรัพย์รายนี้ไปจำนองสหกรณ์ไว้ไม่ทำให้การโอนขายที่ดินและเรือน เป็นอันพ้นวิสัย อันจะเป็นเหตุให้จำเลยยกขึ้นอ้างว่าไม่สามารถจะโอนขายที่ดินและเรือนได้ ฉะนั้นโอกาสที่จำเลยจะขอคืนเงินให้โจทก์ จึงยังไม่อาจเกิดขึ้น
คงพิพากษายืน