แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าบ้าน ซึ่งกำหนดอัตราค่าเช่าไว้เป็นสองระยะ ระยะแรก 18 เดือน คิดค่าเช่าเดือนละ 100 บาท เมื่อครบกำหนดแล้วจะอยู่ต่อไปต้องคิดเดือนละ 500 บาท ดังนี้ เป็นข้อสัญญาตกลงกันด้วยความสมัครใจ มีผลผูกพันกันตามกฎหมาย มิเป็นการขัดหรือฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯแต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าบ้านของโจทก์ค่าเช่าเดือนละ 100 บาท มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ถ้าครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจำเลยไม่ย้ายไปตามคำขอร้องของโจทก์ จำเลยยอมให้ค่าเช่าเดือนละ 500 บาท ดังสำเนาท้ายฟ้อง ครั้นครบกำหนด1 ปี 6 เดือนแล้วจำเลยไม่ชอบเสียค่าเช่าเดือนละ 500 บาท จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง หรือให้ทำสัญญาใหม่ ถ้าไม่ยอมขอให้ขับไล่
ปรากฎตามข้อความในสัญญาเช่าข้อ 10(ก) ระบุไว้ว่า “เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า ถ้าผู้เช่าไม่ย้ายออกตามคำขอร้องของผู้ให้เช่าแล้วผู้เช่ายอมให้ค่าเช่าเดือนละ 500 บาท”
ข้อตกลงเช่นนี้ ศาลแพ่งถือว่า เป็นการเลี่ยงมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ซึ่งห้ามมิให้ขึ้นค่าเช่าตกเป็นโมฆะ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาเช่ารายนี้ทำกันขึ้นครั้งเดียวฉบับเดียว และข้อตกลง ก. นั้นเป็นข้อหนึ่งแห่งสัญญาไม่ใช่รอยขีดฆ่าตกเติม อันจะต้องเซ็นนามกำกับดังที่จำเลยต่อสู้สัญญานี้กำหนดอัตราค่าเช่าไว้เป็นสองระยะ ๆ แรก 18 เดือน คิดเดือนละ 500 บาท ข้อสัญญาดังนี้หาเป็นการขึ้นค่าเช่าหรือหลีกเลี่ยงบทกฎหมายอย่างใดไม่ เป็นข้อสัญญาที่สุจริตตรงไปตรงมา ไม่เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ จึงพิพากษากลับให้จำเลยชำระค่าเช่าแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 500 บาท คำขออื่นบังคับให้ไม่ได้
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อตกลงในสัญญาเช่าฉบับที่พิพาทกันนี้มิได้ขัดหรือฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ แต่อย่างใดเป็นข้อสัญญาตกลงกันด้วยความสมัครใจ มีผลผูกพันตามกฎหมายดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงพิพากษายืน