แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีแพ่ง กฎหมายมิได้บังคับเข้มงวดให้ระบุเวลากระทำผิดในคำฟ้องอย่างคดีอาญา ฉะนั้นหากว่าโจทก์จะมิได้ระบุเวลามาในคำฟ้องด้วย ศาลก็ย่อมจะต้องรับไว้พิจารณา
ฟ้องหาว่า จำเลยทำละเมิดในเวลากลางคืน แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทำละเมิดในเวลากลางวัน ในวันเดียวกันนั้น ดังนี้ เป็นเรื่องเวลาคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อยไม่ถึงกับจะให้เห็นว่า เป็นการละเมิดคนละคราวกับที่ฟ้อง ยังไม่เป็นเหตุถึงแก่จะให้ยกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองกระบือฝูงหนึ่งได้ประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวัง อันควรเป็นเหตุให้กระบือฝูงนั้น 10 ตัวเข้าเหยียบย่ำกัดกินข้าวในไร่ของโจทก์เสียหายในคืนวันที่ 1 กรกฎาคม 2492 จึงเรียกค่าเสียหาย
จำเลยปฏิเสธ ต่อสู้ว่า ในคืนวันโจทก์หา กระบือของจำเลยมีฐานที่อยู่ห่างไกลจากไร่ของโจทก์
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า กระบือของจำเลยกัดกินพืชผลในไร่ของโจทก์เสียหายจริงตามที่โจทก์ฟ้องในเวลากลางวัน แต่เห็นว่ากรณีเช่นคดีนี้เวลาไม่เป็นสิ่งจำเป็นต้องกล่าวในฟ้อง จึงพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทำละเมิดในเวลากลางคืน แต่นำสืบเป็นเวลากลางวัน จึงเป็นการสืบไม่สมฟ้องพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า กระบือของจำเลยกัดกินข้าวในไร่ของโจทก์จริงในเวลากลางวัน แต่เห็นว่าในคดีแพ่งกฎหมายมิได้บังคับเข้มงวดให้ระบุเวลากระทำผิดในคำฟ้องอย่างคดีอาญา ฉะนั้นหากว่าโจทก์มิได้ระบุเวลามาในคำฟ้องด้วย ศาลก็ย่อมจะต้องรับไว้พิจารณาในคดีนี้ปรากฏว่าเวลาคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย ซึ่งไม่ถึงกับจะให้เห็นว่า เป็นการละเมิดคนละคราวกับที่ฟ้อง จึงยังไม่เป็นเหตุถึงแก่จะทำให้ยกฟ้อง
จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์