แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสวนยาง 1 แปลงโดยซื้อไว้จากผู้มีชื่อดังสำเนาท้ายฟ้อง และได้ครอบครองมาประมาณ 9 ปีเศษ จำเลยบุกรุกเข้ากรีดยางในที่ของโจทก์ตอนหนึ่ง จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่งดังนี้ แสดงว่าโจทก์อ้างถึงสิทธิครอบครองอย่างเดียว คำขอท้ายฟ้องก็ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยเข้ามารบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์เท่านั้น หาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ไม่โจทก์ชอบที่จะฟ้องได้ แม้โจทก์จะยังไม่ได้กรรมสิทธิ์มาตามสัญญาซื้อขาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสวนยาง เนื้อที่ 211 ไร่ 3 งาน 50 ตารางวา โดยโจทก์ซื้อไว้จากนายจินนายกเวลลาจามีได้ครอบครองมาประมาณ 9 ปีเศษ จำเลยบุกรุกเข้ากรีดยางในที่ของโจทก์ตอนหนึ่ง จึงฟ้องเรียกค่าเสียหาย 6,000 บาท และขอให้ขับไล่จำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า ที่ตอนนั้นเป็นของจำเลยที่ 1, 2 ไม่ใช่ที่ของโจทก์ ค่าเสียหายไม่ถึง 6,000 บาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ โจทก์ครอบครองยังไม่ถึง 10 ปียังไม่ได้กรรมสิทธิ์ โจทก์อ้างเป็นเจ้าของที่ดินโดยการได้กรรมสิทธิ์เพราะการซื้อขาย แต่กลับสืบไม่สมจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความตามฟ้องและสัญญาท้ายฟ้องแสดงชัดว่าโจทก์อ้างถึงสิทธิครอบครองอย่างเดียว คำขอท้ายฟ้องก็ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยเข้ามารบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์เท่านั้น หาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ดังความเห็นศาลชั้นต้นไม่โจทก์ชอบที่จะฟ้องได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน