คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1259/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินที่เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์สำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกันนั้น เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) และเป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอจะต้องคอยตรวจตรารักษามิให้ผู้ใดเกียดกันเอาไปเป็นประโยชน์เฉพาะตัวตาม พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ 2457 ฉะนั้นเมื่อปรากฏว่ามีบุคคลบุกรุกเข้ามาทำนาหรือครอบครองเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย กรมการอำเภอย่อมมีอำนาจมีคำสั่งให้ผู้บุกรุกนั้นออกไปได้ ถ้าผู้นั้นฝ่าฝืนก็ย่อมมีความผิดฐานขัดคำสั่งตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 334

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายอำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์ได้มีคำสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินอันเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน ซึ่งจำเลยได้บุกรุกเข้าไปทำนาและครอบครองเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเสีย จำเลยได้ทราบคำสั่งแล้วไม่ยอมออกจึงขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 334

จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่นาของจำเลย ฯลฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยผิดตามฟ้องปรับเป็นเงินคนละ 30 บาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นที่ทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์สำหรับให้ราษฎรใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์พาหนะร่วมกันซึ่งทางอำเภอเมืองสุรินทร์ได้ประกาศเป็นที่สงวนหวงห้ามไว้ ที่รายพิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304(2) จึงอยู่ในหน้าที่ของกรมการอำเภอจะต้องคอยตรวจตรารักษามิให้ผู้ใดเกียดกันเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวตามความในมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ 2457 และประกาศหวงห้ามดังกล่าวนั้น แม้ต่อมาในภายหลังได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5 บัญญัติว่า ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามก็ดีก็หาลบล้างถึงที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) อยู่แล้วไม่คำสั่งของนายอำเภอที่สั่งให้จำเลยออกจากที่พิพาท จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยขัดขืนจึงต้องรับผิดตามฟ้อง พิพากษายืน

Share