แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงที่ต้องกล่าวในฟ้องฐานฉ้อโกงนั้น ต้องกล่าวไม่เฉพาะแต่ความเท็จ จำต้องกล่าวถึงความจริงว่าเป็นประการใดด้วย ถ้ามีแต่ความเท็จอย่างเดียว ส่วนความจริงไม่ปรากฏ ก็เป็นฟ้องไม่สมบูรณ์ ตามคำพิพากษาฎีกาที่1048/2493
ฟ้องในข้อหาฐานฉ้อโกงที่กล่าวแต่ความเท็จ ไม่ได้กล่าวว่าความจริงเป็นประการใดด้วยนั้น ถ้าพอจะค้นหาความจริงได้ในฟ้องข้อนั้นเองหรือในฟ้องข้ออื่นแล้ว ศาลก็ย่อมหยิบยกเอาความจริงที่ค้นมาได้นั้น มาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์หาว่าจำเลยกล่าวเท็จนั้นเป็นเท็จจริงหรือไม่
ฟ้องข้อ 1 กล่าวหาว่า จำเลยฉ้อโกงโดยเอาความเท็จมากล่าวฟ้องข้อ 2 ว่า ถึงกำหนดแล้วจำเลยหาได้นำทรัพย์ที่เอาไปคืนให้โจทก์ไม่ ดังนี้เป็นเรื่องผิดคำรับรองหรือผิดสัญญาในทางแพ่ง เพราะโจทก์ไม่ได้ยืนยันมาในฟ้องว่าจำเลยได้ตั้งใจจะไม่คืนทรัพย์ให้แก่โจทก์มาตั้งแต่ต้นเพียงแต่ถึงกำหนดแล้ว ไม่คืนจะว่าเป็นความเท็จมาแต่ต้นย่อมไม่ได้ ฟ้องดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ข้อ 1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2492 เวลากลางวันจำเลยได้พูดขอรับเครื่องทองรูปพรรณไปจากโจทก์หลายอย่างปรากฏตามบัญชีท้ายฟ้อง รวมเป็นราคา 10,480 บาท โดยจำเลยใช้อุบายหลอกลวงด้วยความเท็จว่าจะนำเครื่องทองรูปพรรณไปขายให้ และเมื่อขายได้เท่าใด จำเลยจะนำเงินค่าเครื่องทองรูปพรรณมาใช้ให้โจทก์ถ้าขายไม่ได้ จำเลยก็จะนำเครื่องทองรูปพรรณมาคืนให้โจทก์ภายในเดือนมกราคม พ.ศ. 2493 โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงโจทก์โจทก์หลงเชื่อถ้อยคำของจำเลย และได้ส่งมอบเครื่องทองรูปพรรณตามบัญชีท้ายฟ้องให้แก่จำเลยไป
ข้อ 2. ครั้นต่อมาถึงกำหนดเวลาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2493 และจนกระทั่งบัดนี้จำเลยก็ยังหาได้นำเงินค่าเครื่องทองรูปพรรณมาใช้ให้โจทก์ไม่ ทั้งเครื่องทองรูปพรรณที่จำเลยรับไปจากโจทก์ จำเลยก็ไม่ได้นำมาคืนให้โจทก์โจทก์ทวงเตือน จำเลยพูดบิดพลิ้วโดยประการต่าง ๆ ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304
จำเลยปฏิเสธต่อสู้ตัดฟ้องหลายประการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดฐานฉ้อโกง ให้จำคุก 6 เดือนจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่จะต้องกล่าวในฟ้อง ในข้อหาฐานฉ้อโกงนั้น ต้องกล่าวในฟ้องไม่เฉพาะแต่ความเท็จ จำต้องกล่าวถึงความจริงว่าเป็นประการใดด้วย ถ้ามีแต่ความเท็จอย่างเดียว ส่วนความจริงไม่ปรากฏ ก็เป็นฟ้องไม่สมบูรณ์ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1048/2493 ตามฟ้องของโจทก์ในคดีเรื่องนี้เท่าที่พอจะค้นหาความจริงได้ ก็คือฟ้องข้อ 2 ที่ว่า ถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่คืนเงินหรือเครื่องทองรูปพรรณให้ ฯลฯ ความข้อนี้เป็นเรื่องผิดคำรับรองหรือผิดสัญญาในทางแพ่ง เพราะโจทก์ไม่ยืนยันมาในฟ้องว่า จำเลยได้ตั้งใจจะไม่คืนเงินค่าเครื่องทองรูปพรรณหรือจะไม่คืนเครื่องทองรูปพรรณให้แก่โจทก์มาแต่ต้นเพียงแต่ถึงกำหนดแล้ว ไม่คืนจะว่าเป็นความเท็จมาแต่ต้นย่อมไม่ได้ โดยชั้นต้นจำเลยอาจตั้งใจคืน แต่ภายหลังเกิดมีเหตุขัดข้องคืนไม่ได้ ก็จะกลายเป็นความเท็จมาแต่ต้นไปถ้าตัดความตามข้อ 2 ออกเสียแล้ว ลำพังฟ้องข้อ 1 ไม่ปรากฏเลยว่าความจริงเป็นประการใด จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป