แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเคยต้องคำพิพากษาคดีอาญาฐานลักทรัพย์มา 3 ครั้งแต่เวลานั้นจำเลยมีอายุน้อย ศาลเรียกประกันทัณฑ์บนบ้างต้องขังมาพอแก่โทษบ้าง ส่งโรงเรียนดัดสันดานบ้าง ต่อมาจำเลยมากระทำผิดฐานลักทรัพย์ต้องจำคุก 4 เดือน ครั้ง 1 และต้องโทษฐานรับของโจรจำคุก 2 เดือนอีกครั้งหนึ่ง และในครั้งหลังจำเลยมากระทำผิดฐานชิงทรัพย์อีก ดังนี้ ย่อมเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย ต้องเพิ่มโทษกักกันตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย 2479
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 293, 298, 299, 72 และลงโทษกักกันจำเลย ฯลฯ
ศาลอาญาพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 299 จำคุก 3 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 72 อีก 1 ใน 3 เป็นโทษจำคุก 4 ปี ลดตามมาตรา 59 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี ฯลฯส่วนโทษกักกันให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า เมื่อจำเลยพ้นโทษฐานชิงทรัพย์นี้แล้วให้ส่งตัวจำเลยไปกักกันมีกำหนด 3 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกฐานลักทรัพย์มีกำหนด 4 เดือนครั้ง 1 และต้องคำพิพากษาให้จำคุกฐานรับของโจรมีกำหนด 2 เดือน อีกครั้งหนึ่ง รวมเป็น 2 ครั้ง ซึ่งไม่ใช่ความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ ความผิดฐานชิงทรัพย์ที่จำเลยกระทำครั้งนี้ตามมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติกักกัน ก็บัญญัติว่าเป็นเหตุร้าย และจำเลยยังเคยต้องคำพิพากษาอีก 3 คดี ล้วนแต่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ทั้งสิ้น หากเวลานั้นจำเลยมีอายุน้อยศาลเรียกประกันทัณฑ์บนบ้าง ส่งโรงเรียนดัดสันดานบ้าง แล้วจำเลยยังมากระทำผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร จนต้องจำคุกดังกล่าวย่อมเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายต้องเพิ่มโทษกักกันตามที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมา
จึงพิพากษายืน