คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 729/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องใช้ถ้อยคำว่า ‘จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 อีกฝ่ายหนึ่ง ต่างสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้ทำร้ายร่างกาย ซึ่งกันและกันโดยจำเลยที่ 1-2 สมคบกันใช้เหล็กแหลมแทงทำร้ายจำเลยที่ 3 บาดเจ็บสาหัสจำเลยที่ 3-4 สมคบกันใช้กำลังชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ 1-2ถึงบาดเจ็บทุพพลภาพ’ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา254,256 นั้น ย่อมถือได้ว่า มีข้อหาว่าจำเลยทำผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 258 ด้วย แม้ท้ายฟ้องไม่ระบุมาตรา 258 ถ้าทางพิจารณาได้ความจริง ก็ใช้มาตรา 258 ลงแก่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใช้ถ้อยคำดังนี้ “จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ฝ่ายหนึ่งกับจำเลยที่ 3และจำเลยที่ 4 อีกฝ่ายหนึ่ง ต่างสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 สมคบกันใช้เหล็กแหลมแทงทำร้ายจำเลยที่ 3 ถูกตามร่างกายถึงบาดเจ็บสาหัส จำเลยที่ 3-4 สมคบกันใช้กำลังชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ถึงบาดเจ็บทุพพลภาพ” ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 254, 256

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ผิดตาม มาตรา 256 จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 3-4 ผิดตามมาตรา 254 จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 200 บาทส่วนจำเลยที่ 2 ให้ปล่อยตัวไป

จำเลยที่ 3-4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกา ปรึกษาคดีแล้ว ฟ้องตามที่ปรากฏอยู่นั้น ไม่หมายความว่าจำเลยทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย คำขอที่ระบุกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 254, 256 จะใช้แก่คดีนี้ไม่ได้ แต่ฟ้องตามที่ปรากฏอยู่นั้นเท่ากับมีข้อหาว่า จำเลยทำความผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 258 ท้ายฟ้องไม่ระบุมาตรา 258 ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าพิจารณาได้ความจริงก็ใช้มาตรา 258 ลงแก่จำเลยได้ ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 852/2490 และ 243/2491 ฯลฯ

คงพิพากษายืน

Share