คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาและจำเลยไม่มีหน้าที่รับเงินค่าปรับจากจำเลยมาชำระต่อศาล การที่ผู้ถูกกล่าวหารับเงินค่าปรับจากจำเลยแทนศาล เป็นการไม่ถูกต้องตามระเบียบวิธีปฏิบัติ เมื่อผู้ถูกกล่าวหาไม่นำเงินไปชำระต่อศาลไม่ว่าจะทุจริตหรือไม่ เมื่อเป็นเหตุให้ศาลไม่ได้รับค่าปรับ ไม่มีการส่งหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาและไม่มีการส่งตัว ส. จำเลยไปกักขังแทนค่าปรับที่สถานีตำรวจ จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)
ส่วนกรณีที่ไม่มีการส่งหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาและตัว ป. จำเลยไปกักขังที่สถานีตำรวจ เพราะมีการปล่อยตัว ป. ไปก่อนแล้ว และมีผู้เอาหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาไปด้วย ผู้ถูกกล่าวหาเป็นแต่เพียงผู้รับหมายกักขังมาจากเจ้าหน้าที่ศาลเท่านั้นแต่มิได้เอาหมายกักขังไป และมิได้เป็นคนรับเงินค่าปรับและปล่อยตัว ป. ไป ยังไม่ถึงขนาดเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลจึงไม่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากนางสุพัฒนา วีรวงศ์ จ่าศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ได้รายงานให้ศาลชั้นต้นทราบว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2298/2542 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์ นายสายยันต์ สุขันที จำเลย และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2539/2542 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์ นายประจักร์ รักอู่ จำเลยถูกกักขังแทนค่าปรับตามหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาที่ 1075/2542 ลงวันที่ 4มิถุนายน 2542 และหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาที่ 1205/2542 ลงวันที่ 17 มิถุนายน2542 ตามลำดับ แต่ทางสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองสุพรรณบุรีไม่ได้รับหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาดังกล่าวและตัวจำเลยในคดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวแต่อย่างใดศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)มาตรา 33 ถือว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลรวม 2 กระทง ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหากระทงละ 3 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน

ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้รับหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาที่ 1075/2542 ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2542 ที่ให้กักขังนายสายยันต์ สุขันที จำเลย มีกำหนด 142 วัน แทนค่าปรับ 10,000 บาท และหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาที่ 1025/2542 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2542 ที่ให้กักขังนายประจักร์ รักอู่ จำเลย มีกำหนด 142 วัน แทนค่าปรับ 10,000 บาท ไปจากศาลชั้นต้นและรับเงินค่าปรับจำนวน 10,000 บาท จากนายสายยันต์ แต่มิได้นำเงินดังกล่าวไปชำระค่าปรับต่อศาลชั้นต้น และทางสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรีไม่ได้รับหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาและบุคคลทั้งสองดังกล่าว

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ถูกกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ในกรณีรายนายสายยันต์นั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายสายยันต์ว่านายสายยันต์ได้ชำระค่าปรับให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาในห้องพิจารณาแล้วผู้ถูกกล่าวหาบอกให้นายสายยันต์กลับบ้านได้ โดยไม่ได้มอบใบรับเงินค่าปรับให้ และในทางปฏิบัติเจ้าพนักงานตำรวจที่มาปฏิบัติหน้าที่ที่ศาลชั้นต้นว่าจะปล่อยตัวจำเลยที่ถูกกักขังแทนค่าปรับก็ต่อเมื่อมีใบรับเงินค่าปรับมาแสดง โดยจะทำเครื่องหมายวงกลมที่เลขหน้าชื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกควบคุมตัวในห้องขังของศาลชั้นต้นไว้เป็นหลักฐานเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีหน้าที่รับเงินค่าปรับจากจำเลยมาชำระต่อศาลชั้นต้นแทนจำเลยการที่ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาและจำเลยมารับเงินค่าปรับจากจำเลยเองแทนศาลชั้นต้นเช่นนี้จึงเป็นการไม่ถูกต้องตามระเบียบวิธีปฏิบัติของศาลชั้นต้น และจะเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตได้โดยง่าย อย่างไรก็ดีเมื่อรับเงินจากนายสายยันต์ไว้แล้ว ผู้ถูกกล่าวหาก็ต้องนำไปชำระต่อศาลชั้นต้นตามที่ได้รับมอบหมายเมื่อไม่นำไปชำระไม่ว่าจะทุจริตหรือไม่ก็ตามและผลของการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นไม่ได้รับค่าปรับ ไม่มีการส่งหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกา และไม่มีการส่งตัวนายสายยันต์ไปกักขังแทนค่าปรับที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรีจนเป็นที่เสียหายร้ายแรงต่อทางราชการและศาลชั้นต้น การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวจึงไม่ใช่แค่เพียงการปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่องเท่านั้น แต่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ส่วนกรณีรายนายประจักร์นั้น ได้ความว่าในทางปฏิบัติเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาและจำเลยที่ศาลชั้นต้นไปรับหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกามาแล้วจะนำไปเก็บรวมไว้ ส่วนมากแล้วจ่าสิบตำรวจชัยรัชจามพัฒน์ ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดจะเป็นคนรวบรวมเก็บไว้เพื่อตรวจสอบส่งตัวจำเลยซึ่งต้องกักขังแทนค่าปรับไปสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรีในตอนเย็นของวันนั้น การที่ไม่มีการส่งหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาและตัวนายประจักร์ไปกักขังที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรีในเย็นวันเกิดเหตุนั้นเพราะมีการปล่อยตัวนายประจักร์ไปก่อนแล้วและมีผู้เอาหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาไปด้วย ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเป็นแต่เพียงผู้รับหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกามาจากเจ้าหน้าที่ศาลเท่านั้น แต่มิได้เป็นคนที่รับเงินค่าปรับและปล่อยตัวนายประจักร์ไป และตามทางไต่สวนยังฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้เอาหมายกักขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาไป การกระทำของผู้ถูกกล่าวหากรณีนายประจักร์ยังไม่ถึงขนาดเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล จึงไม่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ผู้ถูกกล่าวหาคงมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเฉพาะการกระทำกรณีนายสายยันต์เพียงกระทงเดียวเท่านั้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1) มาตรา 33 กระทงเดียว ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน

Share