แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากโรงซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์ทางพิจารณาได้ความว่า โรงเป็นของจำเลย แต่ที่ดินเป็นของโจทก์ ศาลพิพากษาว่าให้จำเลยรื้อโรงออกไปเสียจากที่ดินของโจทก์ ดังนี้มีความหมายว่าจำเลยย่อมมีสิทธิรื้อไปได้ ไม่ใช่บังคับให้จำเลยรื้อ
บุคคลอาจเป็นเจ้าของโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นได้ ดังที่บัญญัติไว้ในเรื่องสิทธิเหนือพื้นดินตาม มาตรา 1410
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปลูกโรงในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยอาศัยอยู่ บัดนี้โจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงขอให้ขับไล่จำเลยและอย่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไป
จำเลยให้การว่า โรงที่จำเลยอยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกอยู่ตลอดมา เมื่อโจทก์ ไม่พอใจก็ควรให้จำเลยรื้อโรงไปอยู่ที่อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงพิพาทไปเสียจากที่ดินของโจทก์และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์ อ้างว่าคำขอของโจทก์ เพียงแต่ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากโรง ศาลตัดสินให้จำเลยรื้อโรงไป จึงเกินข้อหานั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำตัดสินของศาลล่างมิใช่ว่าเป็นการบังคับจำเลยให้ต้องรื้อโรงไป หากแต่ตัดสินว่าโรงเป็นของจำเลยเมื่อจำเลยให้การแก้ข้อหาของโจทก์ ที่ขอให้ขับไล่ว่ายินดีจะรื้อออกไป ศาลก็ย่อมตัดสินได้ตามที่จำเลยต้องการ คือย่อมหมายความว่าจำเลยชอบที่จะรื้อโรงไปได้ คำขอของโจทก์ที่ขอให้ขับไล่ออกจากที่ดินและโรง จึงเป็นอันพ่ายแพ้แก่ข้อต่อสู้ของจำเลย คำตัดสินหาเป็นการเกินคำขอไม่
ส่วนข้อที่โจทก์ค้านว่า จำเลยไม่มีหลักฐานการจดทะเบียนจะวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าของโรงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บุคคลอาจมีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือนในที่ดิน ของผู้อื่นได้ดังที่บัญญัติไว้ในเรื่องสิทธิเหนือที่ดินตามมาตรา 1410ฎีกาข้ออื่นก็ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน