แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 1 ลงในทะเบียนสำมะโนครัวว่าเจ้าบ้านห้องพิพาทและมีบุตรหลานภริยาของจำเลยที่ 1 ร่วมอาศัยอยู่ด้วย แม้จำเลยที่1 จะได้ซื้อห้องใหม่ไว้อีกแห่งหนึ่งแล้วแต่ยังคงไปๆมาๆในห้องพิพาทและในสัญญาเช่าจำเลยที่ 1ก็เป็นผู้เช่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในห้องพิพาทนี้ล้วนเกี่ยวดองอยู่ในครอบครัวของจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น ดังนี้จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
และการที่จำเลยที่ 1 เคยเอาหมูไปพักไว้ในที่พิพาทเป็นการชั่วคราวหรือเลี้ยงเป็ดไก่ ดังนี้ไม่เรียกว่าจำเลยประกอบการค้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องกล่าวเป็นใจความสำคัญว่า จำเลยที่ 1 เช่าที่ดินของโจทก์ปลูกห้องแถวเพื่อประกอบการค้า บัดนี้สัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว และจำเลยที่ 1 ได้ซื้อห้องแถวเลขที่ 491 ถนนยมจินดาและได้ย้ายครอบครัวมาอาศัยทำการค้าอยู่ในห้องใหม่นี้แล้ว จึงหมดความจำเป็นที่จะอยู่ในที่ดินของโจทก์ต่อไป แต่จำเลยที่ 1 ยังให้จำเลยที่ 2 กับบริวารอยู่ในที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 รื้อห้องพิพาทออกไปจากที่ของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ยอมรื้อ ขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 รื้อถอนออกไปและขับไล่จำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 100 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออก
จำเลยทั้งสองให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่าจำเลยที่ 1 ใช้ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยมิใช่เพื่อประกอบการค้า ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ผู้เป็นมารดาคงอยู่อาศัยในห้องพิพาทเลขที่ 334 และจำเลยได้ต่อสู้อย่างอื่นอีกหลายประการ ที่ดินรายนี้เช่ากันปีละ 150 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายถึงเดือนละ 100 บาทโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่เคยมีหนังสือแจ้งการโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยทราบ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาฟังต้องกันว่าที่พิพาทอยู่ในย่านทำเลการค้าและจำเลยเช่าเพื่อเจตนาค้าสุกรเป็นส่วนใหญ่ จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันโจทก์มีอำนาจฟ้อง ส่วนค่าเสียหายโจทก์ควรได้รับเพียงค่าเช่าเป็นรายเดือน ๆ ละ 12 บาท 50 สตางค์ พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนห้องแถวและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกไปจากที่โจทก์ภายใน 1 เดือนและให้จำเลยที่ 2 กับบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 12 บาท 50 สตางค์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรับรองให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 ประสงค์เช่าที่พิพาทเพื่ออยู่อาศัย เพราะจำเลยมีครอบครัวอยู่ด้วยกันถึง 17 คน จนต้องขยับขยายปลูกขึ้นอีกห้องหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 เอาหมูไปพักไว้ในที่พิพาทเป็นการชั่วคราวหรือเลี้ยงเป็ดไก่ดังนี้ ไม่เรียกว่าจำเลยประกอบการค้า
อนึ่งการที่จำเลยที่ 2 ลงในทะเบียนสำมะโนครัวว่า เจ้าบ้านห้องพิพาทและมีบุตรหลายภริยาของจำเลยที่ 1 ร่วมอาศัยอยู่ด้วยแต่จำเลยที่ 1 คงไป ๆ มา ๆ ในบ้านพิพาทและสัญญาเช่าก็มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในห้องพิพาทนี้ล้วนเกี่ยวดองอยู่ในครอบครัวของจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์