คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3585/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องเกี่ยวพันกันทั้งในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง กรุงเทพมหานคร และสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ดังนั้น พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางบัวทองซึ่งเป็นท้องที่ที่จำเลยที่ 2 ถูกจับ จึงมีอำนาจสอบสวนได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 วรรคหนึ่ง (3) และวรรคสาม (ก) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 120
โจทก์ร่วมที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ร่วมที่ 1 เข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีได้นั้นต้องถือว่าเป็นการอนุญาตให้โจทก์ร่วมที่ 1 เข้าร่วมเป็นโจทก์ได้เฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฯ ซึ่งมีโจทก์ร่วมที่ 1 และโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นผู้เสียหายเท่านั้น เพราะโจทก์ร่วมทั้งสองมิได้เป็นผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติอาหารฯ
การที่จำเลยที่ 2 มีอาหารปลอมไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่าย โดยที่อาหารดังกล่าวนั้นมีเครื่องหมายการค้าปลอมอยู่ด้วยก็ด้วยเจตนาเดียวว่าประสงค์จำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารปลอม เมื่ออาหารปลอมนั้นมีเครื่องหมายการค้าปลอมอยู่ด้วยและกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไว้ จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534มาตรา 108, 110, 115 พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25, 27, 59

ระหว่างพิจารณา บริษัทจิ้วฮวด จำกัด โดยนายสถิตย์ กาญจนวิสิษฐผล กรรมการผู้มีอำนาจ และนายสถิตย์ กาญจนวิสิษฐผล ในฐานะส่วนตัว ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาตโดยเรียกบริษัทจิ้วฮวด จำกัด ว่าโจทก์ร่วมที่ 1 นายสถิตย์ กาญจนวิสิษฐผล ว่าโจทก์ร่วมที่ 2

จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยที่ 2มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25(2), 27, 59 พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 110(1), 108 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานจำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารปลอมซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ปรับ 100,000บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้ยกฟ้องคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ร่วมที่ 1 และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงรับฟังได้ว่า โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นผู้ผลิตซอสหอยนางรมตราแม่ครัวภายใต้เครื่องหมายการค้า “ซอสหอยนางรมตราแม่ครัว” ซึ่งมีโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเจ้าของผู้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ก่อนที่จะมีการดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ร่วมที่ 2 พบซอสหอยนางรมปลอมภายใต้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วมที่ 2ที่ร้านประเสริฐชัยซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 97 ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวังเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร จำนวน 181 ลัง ได้มีการสอบสวนขยายผลทราบว่า ซอสหอยนางรมปลอมดังกล่าวนั้นได้ซื้อมาจากร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตจึงได้มีการไปค้นโกดังเก็บสินค้าของร้านดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ที่ตรอกโรงน้ำแข็ง ตำบลโสนลอย อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พบว่ามีซอสหอยนางรมตราแม่ครัวปลอมจำนวน 227 ลังซึ่งจำเลยที่ 2 แจ้งว่าได้ซื้อมาจากนายธงชัย ร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในนามของบริษัทจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 4เป็นน้องของจำเลยที่ 2 และมีหุ้นอยู่ในบริษัทจำเลยที่ 1 ด้วย โจทก์ร่วมทั้งสองแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีทั้งกับนายธงชัย แซ่ตั้ง นายวิษณุ แทนคุณ ผู้ที่นำซอสหอยนางรมตราแม่ครัวปลอมมาเสนอจำหน่าย จำหน่าย และผู้ที่รับไว้จำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายคือจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 4 ในคดีนี้ ในส่วนคดีของนายธงชัยและนายวิษณุได้ให้การรับสารภาพศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาลงโทษ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพิพากษายืน คดีถึงที่สุดไปแล้วส่วนจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ให้การปฏิเสธ จึงได้แยกมาฟ้องเป็นคดีนี้

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในประการแรกมีว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางบัวทองมีอำนาจสอบสวนคดีนี้หรือไม่ เห็นว่าความผิดที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องเกี่ยวพันกันทั้งในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง กรุงเทพมหานคร และสถานีตำรวจภูธร อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ดังนั้น พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร อำเภอบางบัวทองซึ่งเป็นท้องที่ที่จำเลยที่ 2 ถูกจับ จึงมีอำนาจสอบสวนได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 วรรคหนึ่ง (3) และวรรคสาม (ก) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในประการที่สองมีว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางหรือไม่โจทก์มีนายชาญชัย อิ่มสมบูรณ์ นายสมนึก แก้วปู่วัด นายวินัย หมวดสันเทียะ เป็นพยานเบิกความสอดคล้องตรงกันว่าซอสหอยนางรมตราแม่ครัวปลอมสามารถซื้อได้จากร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ต จำเลยที่ 2 ก็เบิกความเจือสมกับคำพยานโจทก์โดยยอมรับว่า เจ้าพนักงานตำรวจพบซอสหอยนางรมตราแม่ครัวปลอมเก็บอยู่ในโกดังเก็บสินค้าของร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ต ปัญหาว่าจำเลยที่ 2รู้หรือไม่ว่าซอสหอยนางรมตราแม่ครัวที่รับมาจำหน่ายดังกล่าวนั้นเป็นของปลอมหรือไม่โจทก์มีนายชาญชัย อิ่มสมบูรณ์ เป็นพยานเบิกความว่า ภายในโกดังเก็บสินค้านอกจากจะพบซอสหอยนางรมตราแม่ครัวปลอมของกลางแล้วยังพบสินค้าอื่นที่หมดอายุแล้วเช่น นม ส่วนสินค้าอื่นที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ปรากฏอยู่ในโกดัง นอกจากนี้ยังระบุว่าได้ตรวจค้นสินค้าในร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วปรากฏว่า ซอสหอยนางรมตราแม่ครัวที่วางในร้านเป็นของจริงไม่มีของปลอมปนมาเลย และมีนายสมนึก แก้วปู่วัดเบิกความสนับสนุนว่า ทุกครั้งที่ติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตจะกระทำที่โกดังเก็บของของร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ต และนายชาญชัยยังเบิกความตอบทนายโจทก์ร่วมว่าในทันทีที่โจทก์ร่วมทราบว่ามีของปลอมระบาดในท้องตลาดในเดือนมิถุนายน 2541 ทางโจทก์ร่วมได้ให้พนักงานการตลาดแจ้งให้แก่ลูกค้าทราบโดยนายสุชาติซึ่งเป็นพนักงานขายของบริษัทโจทก์ร่วมที่ 1 เป็นผู้แจ้งให้แก่จำเลยที่ 2 ในนามของจำเลยที่ 1 ทราบ และได้ความจากนายสถิตย์ กาญจนวิสิษฐผล โจทก์ร่วมที่ 2 ตอบทนายโจทก์ร่วมที่ 2 ถามติงว่าตามปกติแล้วร้านค้าจะต้องรู้ว่าสินค้าใดแท้หรือปลอมเพราะจะต้องซื้อสินค้าจากพนักงานขายของบริษัทโจทก์ร่วมที่ 1 และมีราคาต้นทุนที่แตกต่างกันทั้งยังตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า จำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ร่วมนานหลายปีแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เบิกความในทำนองเดียวกันว่าไม่ทราบว่าซอสหอยนางรมตราแม่ครัวที่รับซื้อมาจำหน่ายเป็นของปลอม เห็นว่า ลักษณะวิธีการส่งสินค้าซอสหอยนางรมตราแม่ครัวให้แก่ลูกค้าตามที่ได้ความจากนายสมนึก แก้วปู่วัด ปรากฏว่า ในทางปฏิบัติจะเป็นการสั่งซื้อล่วงหน้าทางโทรศัพท์แล้วให้นายสมนึกมารับของที่โกดังเก็บสินค้าหาใช่นำสินค้าซอสหอยนางรมตราแม่ครัวของจริงที่วางอยู่ในร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตมาส่งให้ไม่ ฉะนั้น เมื่อได้ความจากนายชาญชัยว่าตามสภาพโกดังไม่มีสภาพที่จะเก็บสินค้าดังปรากฏข้อเท็จจริงว่า นอกจากมีซอสหอยนางรมตราแม่ครัวปลอมของกลางเก็บไว้แล้วไม่ปรากฏว่ามีสินค้าที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เก็บไว้เลยโดยมีสินค้าที่หมดอายุ เช่น นม เท่านั้นที่มีปนอยู่ในโกดัง จึงเป็นข้อพิรุธว่าเหตุใดจำเลยที่ 2 จึงต้องแยกซอสหอยนางรมตราแม่ครัวปลอมไปเก็บในสถานที่เช่นนั้นข้อที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าซอสหอยนางรมของกลางเป็นสินค้าที่มีปัญหาจึงต้องไปเก็บไว้ที่นั้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งยังขัดกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากนายสมนึก แก้วปู่วัดที่เบิกความว่า จำเลยที่ 4 ไม่ได้นำสินค้าซอสหอยนางรมตราแม่ครัวจากร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตไปให้ นอกจากนี้ราคาสินค้าที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าซื้อจากนายธงชัยมีราคาถูกกว่าราคาของบริษัทผู้ผลิตก็ปรากฏว่าราคาก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ประกอบกับบริษัทโจทก์ร่วมที่ 1 ยืนยันว่าได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ในนามของจำเลยที่ 1 ทราบแล้วว่ามีซอสหอยนางรมตราแม่ครัวของปลอมในท้องตลาด ดังนี้ จำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่ในวงการค้าทำการค้ารับซื้อซอสหอยนางรมตราแม่ครัวจากโจทก์ร่วมที่ 1 มาจำหน่ายเป็นเวลานานพอสมควร ย่อมรู้ว่าสินค้าของโจทก์ร่วมสามารถจำหน่ายได้ดีในท้องตลาด ยิ่งพึงต้องใช้ความระมัดระวังไม่ซื้อสินค้าจากผู้ที่ไม่มีหลักฐานน่าเชื่อถือหรืออยู่นอกวงการค้า นายธงชัยเป็นใครมาจากไหน เข้ามาทำธุรกิจค้าส่งซอสหอยนางรมตราแม่ครัวของบริษัทโจทก์ร่วมที่ 1 ได้อย่างไร จำเลยที่ 2 ก็ไม่ทราบ พฤติการณ์ในการรับซื้อและจำหน่ายซอสหอยนางรมตราแม่ครัวระหว่างนายธงชัย นายสมนึก แก้วปู่วัด กับจำเลยที่ 2 ดังที่กล่าวมาหาใช่เป็นการทำการค้าโดยสุจริตปกติธรรมดาของพ่อค้าโดยทั่วไปไม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 ยอมรับว่าโกดังเก็บสินค้าที่พบซอสหอยนางรมตราแม่ครัวปลอมนั้นเป็นที่เก็บสินค้าที่มีปัญหา ดังนี้แล้วเหตุใดเมื่อนายสมนึก แก้วปู่วัดสั่งสินค้าซอสหอยนางรมตราแม่ครัวจากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่นำสินค้าซอสหอยนางรมตราแม่ครัวที่วางอยู่ในร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งเป็นของจริงไปให้ แต่กลับให้นายสมนึกมารับสินค้าในโกดังดังกล่าวซึ่งเป็นของปลอม พฤติการณ์แห่งคดีดังวินิจฉัยมาฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดตามที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 หรือไม่นั้น เห็นสมควรกล่าวเสียก่อนว่าการที่โจทก์ร่วมที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ร่วมที่ 1 เข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีได้นั้นต้องถือว่า เป็นการอนุญาตให้โจทก์ร่วมที่ 1 เข้าร่วมเป็นโจทก์ได้เฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ซึ่งมีโจทก์ร่วมที่ 1 และโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นผู้เสียหายเท่านั้น เพราะโจทก์ร่วมทั้งสองมิได้เป็นผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ โจทก์ร่วมที่ 1 จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 แม้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับอุทธรณ์ส่วนนี้มาก็เป็นการรับอุทธรณ์โดยไม่ชอบ จึงไม่รับวินิจฉัยให้

ในชั้นนี้คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ 1 เฉพาะในส่วนเกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ในข้อแรกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ในข้อหามีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยสอดคล้องตรงกันว่า ในการประกอบธุรกิจดำเนินการค้าของจำเลยเป็นธุรกิจในครอบครัวมีการสั่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายในร้านชื่อว่าเทียมเจริญหรือเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลไว้ในนามของบริษัทจำเลยที่ 1 ในทางปฏิบัติโจทก์มีนายสมนึก แก้วปู่วัด เป็นพยานเบิกความว่า ในการติดต่อซื้อขายสินค้ากับร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตนายสมนึกติดต่อกับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นน้องของจำเลยที่ 2 เวลาจำเลยที่ 4 โทรศัพท์ติดต่อถึงนายสมนึกจะอ้างว่าโทรศัพท์มาจากสามัคยานุสรณ์ซึ่งเป็นชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ทั้งผู้บริหารของร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตคือจำเลยที่ 2 ก็เป็นกรรมการในบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อนายสมนึกติดต่อมาที่ร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ต หากบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยย่อมไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 4 จะอ้างใช้ชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อซื้อขายซอสหอยนางรมตราแม่ครัวปลอมกับนายสมนึก แก้วปู่วัด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 4 มิใช่เป็นเพียงพนักงานในร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ต หากแต่ว่ามีความใกล้ชิดเป็นน้องของจำเลยที่ 2 ทั้งยังมีหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 ด้วย จึงเป็นธุรกิจการค้าในครอบครัว จำเลยที่ 4 ย่อมจะต้องทราบว่าเป็นการติดต่อซื้อขายในนามของบริษัทจำเลยที่ 1 ถึงได้ไปอ้างต่อนายสมนึกเช่นนั้น นายสมนึกเป็นผู้ที่ทำมาค้าขายนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนกับร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าสินค้าที่นายสมนึกนำมาแลกเปลี่ยนนั้นมีปัญหาแต่อย่างใด จึงต้องถือว่านายสมนึกเป็นพยานคนกลางไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสี่มาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะมาเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยทั้งสี่คำพยานปากนายสมนึกจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ พฤติการณ์การติดต่อซื้อขายสินค้าดังกล่าวระหว่างนายสมนึก แก้วปู่วัดกับร้านเทียมเจริญซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้ติดต่อในนามของจำเลยที่ 1 ด้วยจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ร่วมรู้เห็นและกระทำความผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยส่วนจำเลยที่ 3 ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใดที่แสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้เข้าไปเกี่ยวข้องรู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยที่ 4 แต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังเป็นความผิดได้ อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน

ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ 1 ข้อต่อไปมีว่า การกระทำความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าอันเป็นอาหารปลอม กับความผิดฐานจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดกรรมเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า เมื่อความผิดในข้อหาผลิตอาหารปลอมเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางแล้วว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ผลิตอาหารปลอม ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 มีอาหารปลอมไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่าย โดยที่อาหารดังกล่าวนั้นมีเครื่องหมายการค้าปลอมอยู่ด้วยก็ด้วยเจตนาเดียวว่าประสงค์จำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารปลอม เมื่ออาหารปลอมนั้นมีเครื่องหมายการค้าปลอมอยู่ด้วยและกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไว้ จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดกรรมเดียวนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ 1 ในประการสุดท้ายมีว่าสมควรลงโทษจำเลยที่ 2 ให้หนักขึ้นและไม่ควรรอการลงโทษให้หรือไม่ เห็นว่าแม้อาหารซอสหอยนางรมปลอมอาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภคได้แต่ข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่ามีอันตรายร้ายแรงอย่างไร นอกจากนี้เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้ผลิตเอง ทั้งจำเลยที่ 2 ยังมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่โจทก์ร่วมเพื่อไปค้นแหล่งซุกซ่อนซอสหอยนางรมตราแม่ครัวปลอมที่นายธงชัยกับพวกนำไปซุกซ่อนไว้ด้วยดังนั้น จึงเห็นว่าที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางลงโทษจำเลยที่ 2 และรอการลงโทษจำคุกให้นั้นเหมาะสมแก่ลักษณะความผิดและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอีก อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 110(1) ประกอบมาตรา 108 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท และให้จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 2 ปี ปรับ 100,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดีโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 1 และที่ 4 ไม่ชำระค่าปรับสำหรับจำเลยที่ 1 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 4 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

Share