แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า”ฯลฯ จำเลยมีธนบัตรไว้ในครอบครอง ซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนบัตรปลอม และจำเลยใช้ธนบัตรปลอมรายนี้ชำระหนี้แก่ อ. เจ้าพนักงานจับธนบัตรใบละร้อยบาท 1 ฉบับ ชนิด 20 บาท 1 ฉบับได้” เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม มาตรา 158(5) แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีธนบัตรไว้ในครอบครอง ซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนบัตรปลอม และจำเลยได้ใช้ธนบัตรปลอมรายนี้ชำระหนี้ให้แก่ อ. เจ้าพนักงานจับธนบัตรใบละร้อยบาท 1 ฉบับ ชนิด 20 บาท 1 ฉบับได้จาก ม. ซึ่งจำเลยนำไปชำระหนี้แก่ อ. และ อ. ชำระหนี้แก่ ม.อีกต่อหนึ่ง ขอให้ลงโทษ อ. มาตรา 203, 204 แก้ไขเพิ่มเติม 2475 มาตรา 6, 7
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์มิได้ระบุเป็นเงินตราตามกฎหมายไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และไม่ชัดเจนพอที่จะเห็นว่าจำเลยได้กระทำผิด จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกาอ้างเหตุทำนองเดียวกับที่ศาลชั้นต้นอ้างมา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องโจทก์เข้าใจได้ชัดว่าธนบัตรที่จำเลยนำไปใช้ชนิดละ 100 บาท และ 20 บาทนั้น เป็นธนบัตรที่รัฐบาลไทยออกให้ประชาชนใช้ ซึ่งเป็นเงินตราตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอาญา มาตรา 209 หาจำต้องระบุว่าเป็นเงินตราอีกไม่ ฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์