แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สิทธิที่จะดำเนินคดีทางศาลได้นั้น มีได้เฉพาะแต่บุคคล
เมื่อไม่ปรากฏว่าสุเหร่าของพวกอิสลามเป็นนิติบุคคลแล้วก็ย่อมมอบให้ผู้ใดฟ้องความแทนไม่ได้
เจ้าของที่ดินตั้งตัวแทนฟ้องขับไล่ โดยอ้างในฟ้องว่าได้อุทิศที่ให้สุเหร่าแล้วนั้น จะชี้ขาดว่าเจ้าของที่ไม่มีอำนาจฟ้องในชั้นนี้ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางบีด้าและนางออยาคร์ เป็นเจ้าของที่รายพิพาทได้อุทิศเป็นที่กุศลสถานตามลัทธิศาสนาอิสลาม ซึ่งเรียกว่าสุเหร่าวัดดิด คณะอิสลามสุเหร่าวัดดิดได้ตั้งจำเลยกับคนอื่นเป็นผู้ดูแลรักษาจัดการปลูกห้องแถวหาผลประโยชน์บำรุงสุเหร่ามาตั้งแต่ พ.ศ. 2473 ถึง 2486แล้วจำเลยได้ปลูกห้องแถวลงในที่รายนี้อีกและทำสัญญาจะขายให้ผู้อื่นจึงฟ้องขับไล่จำเลย
จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์และตัดฟ้องว่าสุเหร่าวัดดิดไม่ใช่นิติบุคคลเพราะไม่ได้จดทะเบียน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนนางบีด้าและนางอะยาคร์ในฟ้องกล่าวแล้วว่า ได้อุทิศที่ให้สุเหร่าแล้วจึงขาดกรรมสิทธิ์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้อง ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ตามข้อตัดฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อตัดฟ้องฟังไม่ขึ้นในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อตัดฟ้องสำหรับนางบีด้าและนางอะยาคร์ในชั้นนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนสุเหร่าวัดดิดนั้นไม่ใช่นิติบุคคล จึงไม่มีอำนาจมอบอำนาจ ให้ยกฟ้อง
โจทก์จำเลยฎีกา ศาลฎีกาตัดสินว่าไม่ปรากฏว่าสุเหร่าวัดดิดเป็นนิติบุคคล จึงมอบอำนาจให้โจทก์มาฟ้องไม่ได้ เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นผู้จะมีสิทธิดำเนินคดีในศาลจะต้องเป็นนิติบุคคล หรืออีกนัย 1 ตัวการ ไม่มีสิทธิจะฟ้องแล้วตัวแทนก็ย่อมไม่มีสิทธิดุจกัน ส่วนหนังสือตั้งตัวแทนของนางบิด้าและนางอะยาคร์นั้น เป็นหนังสือตั้งตัวแทนโดยชอบ ชอบที่จะพิจารณาต่อไป จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์