คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 944/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้พยานโจทก์ทุกปาก เว้นแต่เจ้าพนักงานที่ดินเบิกความว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เมื่อปี 2521 นั้นถูกต้อง การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของ ว. เป็นการออกโดยไม่ถูกต้องเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยพยานหลักฐานตามที่ปรากฏอยู่ในสำนวนส่วนจะเชื่อพยานฝ่ายใดย่อมเป็นดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหาใช่การวินิจฉัยโดยอาศัยพยานหลักฐานนอกสำนวนหรือผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่
การนำสืบเพื่อพิสูจน์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ใด การออกเอกสารสิทธิที่พิพาทชอบหรือไม่ ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง อีกทั้งมิใช่การนำสืบเพิ่มเติมตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร จึงสามารถนำสืบพยานบุคคลได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ว. นำที่ดินพิพาทของโจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยไม่ชอบ และ ว. ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทว. จึงมิใช่ผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท การที่ ว. นำที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยทั้งสองแม้จำเลยทั้งสองจะซื้อและจดทะเบียนการซื้อขายโดยสุจริต จำเลยทั้งสองก็หามีสิทธิในที่ดินพิพาทไม่ เพราะผู้ซื้อต้องรับไปเพียงสิทธิของผู้ขายเท่านั้น เมื่อ ว. ผู้ขายไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองผู้ซื้อจึงย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทด้วย
กฎหมายเพียงให้เป็นข้อสันนิษฐานไว้เท่านั้นว่า อสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดิน ผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 จึงสามารถนำสืบข้อเท็จจริงหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้
แม้ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์จะขอให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนโฉนดที่ดินพิพาทเป็นชื่อของโจทก์ก็ตาม แต่ก็มีข้อความต่อไปว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ด้วย จากข้อความดังกล่าวย่อมชัดแจ้งแล้วว่าเป็นเพียงการพิมพ์ผิดเท่านั้น ที่ถูกโจทก์ต้องการให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ แต่พิมพ์ผิดเป็นจำเลยที่ 2 โจทก์หาได้ประสงค์ให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปยื่นคำขอเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทจึงไม่เกินคำขอ
เมื่อโฉนดที่ดินพิพาทออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์จะมิได้มีคำขอให้เพิกถอน ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกโดยไม่ชอบนั้นได้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินมิได้บังคับบุคคลภายนอก แต่เป็นการบังคับเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ตำบลห้วยใต้ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่ประมาณ 3 งาน 46 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน(ส.ค.1) ของโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์มาหลายสิบปีแล้ว เมื่อเดือนกันยายน 2537 จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าทำนาในที่ดินพิพาท อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 17457 โจทก์จึงไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินอำเภอขุขันธ์ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์เสียหายไม่สามารถทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ดินเลขที่ 17457 ตำบลห้วยใต้ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและให้ส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อโจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทแก่โจทก์ไปดำเนินการเอง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 1,000 บาท นับแต่ปี 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์

จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของผู้มีชื่อซึ่งได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1078 หากมีการบุกรุกผู้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นผู้บุกรุกเข้าแย่งการครอบครองเกิน 1 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากผู้มีชื่อโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อปี 2539 ถือว่าได้มาโดยสุจริตและได้เข้าครอบครองนับแต่นั้นมา ต่อมาได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ไปเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดิน การออกโฉนดที่ดินชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทเป็นที่สวนไม่สามารถทำนาได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 101 ของโจทก์ ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1078 ให้แก่โจทก์ แต่เนื้อที่ไม่ครบ ส่วนที่ขาดคือที่ดินพิพาทโดยทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในส่วนที่ดินพิพาทเป็นชื่อของนายวาน แพงมาก เลขที่ 1078 เช่นเดียวกับของโจทก์ นายวานไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทที่ดินที่นายวานครอบครองและขายให้แก่จำเลยทั้งสองคือส่วนที่อยู่ติดกับที่ดินพิพาททางด้านทิศใต้ ก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยทั้งสองไม่เคยเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาท เนื้อที่ 3 งาน 46 ตารางวา ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 17457 ตำบลห้วยใต้ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าว และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 1,000 บาท นับแต่ปี 2537 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกไปจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้งจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ไปยื่นคำขอเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 17457 ตำบลห้วยใต้ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 3 งาน 46 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 101 ซึ่งเป็นของโจทก์มีเนื้อที่รวม 2 ไร่ ตามเอกสารหมาย จ.4 มีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยพยานหลักฐานนอกสำนวนหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาอ้างว่าพยานโจทก์ทุกปาก เว้นแต่เจ้าพนักงานที่ดิน เบิกความว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เมื่อปี 2521 นั้นถูกต้องการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของนายวาน แพงมาก เป็นการออกโดยไม่ถูกต้องเป็นการวินิจฉัยผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนหรือนอกเหนือจากสำนวนนั้น เห็นว่า การวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวอาศัยพยานหลักฐานตามที่ปรากฏอยู่ในสำนวน ส่วนจะเชื่อพยานฝ่ายใดย่อมเป็นดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานหาใช่การวินิจฉัยโดยอาศัยพยานหลักฐานนอกสำนวนหรือผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่ ฎีกาจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นจำเลยทั้งสองฎีกาข้อต่อไปว่า ที่มีการนำสืบพยานบุคคลว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 17457ออกโดยไม่ถูกต้องเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เห็นว่า การนำสืบเพื่อพิสูจน์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ใด การออกเอกสารสิทธิที่พิพาทชอบหรือไม่ ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง อีกทั้งมิใช่การนำสืบเพิ่มเติม ตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร จึงสามารถนำสืบพยานบุคคลได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ฎีกาจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นมีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปว่า การที่จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและจดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว จำเลยทั้งสองจะต้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์นายวานนำที่ดินพิพาทของโจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยไม่ชอบและนายวานไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท นายวานจึงมิใช่ผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท การที่นายวานนำที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยทั้งสอง แม้จำเลยทั้งสองจะซื้อและจดทะเบียนการซื้อขายโดยสุจริต จำเลยทั้งสองก็หามีสิทธิในที่ดินพิพาทไม่เพราะผู้ซื้อต้องรับไปเพียงสิทธิของผู้ขายเท่านั้น เมื่อนายวานผู้ขายไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทจำเลยทั้งสองผู้ซื้อจึงย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นมีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปว่า การที่ที่ดินพิพาททางราชการได้ออกโฉนดแล้วตามโฉนดที่ดินเลขที่ 17457 ซึ่งตามโฉนดจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องเป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เห็นว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ดังที่จำเลยทั้งสองอ้างในฎีกา กฎหมายเพียงให้เป็นข้อสันนิษฐานไว้เท่านั้นว่า อสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดิน ผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ดังนั้นจึงสามารถนำสืบข้อเท็จจริงหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ ฎีกาจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นข้อสุดท้ายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาเกินคำขอหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยที่ 2 ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปยื่นคำขอเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทจึงเกินคำขอนั้นเห็นว่า แม้ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์จะขอให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนโฉนดที่ดินพิพาทเป็นชื่อของโจทก์ก็ตาม แต่ก็มีข้อความต่อไปว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ด้วย จากข้อความดังกล่าวย่อมชัดแจ้งว่าเป็นเพียงการพิมพ์ผิดเท่านั้น ที่ถูกโจทก์ต้องการให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์แต่พิมพ์ผิดเป็นจำเลยที่ 2 โจทก์หาได้ประสงค์ให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ไม่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่เกินคำขอ ฎีกาจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ผู้มีอำนาจสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกโดยไม่ชอบ คือผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อคดีนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดมิได้เป็นคู่ความศาลมิอาจพิพากษาให้มีผลบังคับถึงบุคคลภายนอกคดีได้ คงพิพากษาได้เพียงให้จำเลยที่ 1ไปยื่นคำขอเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทเท่านั้น เห็นว่า เมื่อปรากฏว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 17547ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์จะมิได้ขอให้ศาลเพิกถอน ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกโดยไม่ชอบนั้นได้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินมิได้บังคับบุคคลภายนอกดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เข้าใจ แต่เป็นการบังคับเฉพาะคู่ความในคดีนี้เท่านั้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share