คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้แก่ จ. โดยให้ จ. ชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญา การที่ จ. ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว ทั้งจำเลยได้มอบโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจให้แก่ จ. ไปดำเนินการโอนที่ดินก่อนศาลชั้นต้น มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด จึงเป็นการที่ จ. ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนครบถ้วนแล้ว คงเหลือแต่เฉพาะหน้าที่ของจำเลยที่ต้องดำเนินการโอนที่ดินให้แก่ จ. ถือว่าเป็นสิทธิตามคำพิพากษาที่ จ. จะรับไปเพียงฝ่ายเดียว จำเลยไม่มีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ใด ๆ ตามสัญญาจะซื้อจะขายหรือตามคำพิพากษาดังกล่าวอีก กรณีมิใช่สิทธิตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่พึงได้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะปฏิเสธไม่ยอมรับทรัพย์สินหรือสิทธิดังกล่าว เช่นนี้ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการที่จะจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา 22 การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านไม่คัดค้านคำร้องขอให้ถอนการยึดในคดีแพ่งและมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้ดำเนินการโอนที่ดินให้แก่ จ. ตามสิทธิที่ จ. มีอยู่ตามคำพิพากษาของศาลจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว และกรณีดังกล่าวนี้ไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 145(1) ถึง (5) จึงไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายเดียวที่ขอรับชำระหนี้ในคดีนี้แต่อย่างใด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2543 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2543

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ก่อนผู้ร้องฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย ผู้ร้องได้ใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ยึดทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 151301 กับที่ดินแปลงอื่น ๆ อีก15 แปลง ของจำเลยและได้มีประกาศขายทอดตลาดตลอดมาแต่ยังขายไม่ได้ ต่อมานางจำรัส มณีโชติ เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดนนทบุรี ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 151301 ดังกล่าวให้นางจำรัสตามสัญญาจะซื้อจะขายศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำพิพากษา ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่นางจำรัส แต่ยังโอนไม่ได้เนื่องจากถูกผู้ร้องยึดไว้ นางจำรัสยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรีขอให้เพิกถอนการยึดที่ดิน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลจังหวัดนนทบุรีว่าไม่ติดใจคัดค้านนางจำรัสที่ร้องขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินดังกล่าว และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือ ที่ ยธ 0410/4617 ถึง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแก่นางจำรัส เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี จึงได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเป็นของนางจำรัส การกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำให้ผู้ร้องเสียหาย เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22, 110, 145 และ 146 ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ไม่คัดค้านการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว และเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้กลับเข้ามาในกองทรัพย์สินของลูกหนี้

ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านได้สอบสวนเกี่ยวกับที่ดินโฉนดดังกล่าวถึงสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างจำเลยกับนางจำรัสแล้ว ปรากฏว่านางจำรัสได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลย และได้วางเงินมัดจำกับเข้าครอบครองปรับปรุงที่ดินดังกล่าวแล้วสร้างเป็นโรงเรียนอนุบาลดำเนินกิจการตลอดมา โดยได้มีการแจ้งให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย เมื่อนางจำรัสฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งและศาลจังหวัดนนทบุรีพิพากษาบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวตามสัญญาแล้วโดยให้นางจำรัสชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือ นางจำรัสจึงชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยโดยนายภาคย์ อิสระภาคย์ กรรมการผู้จัดการของจำเลยเป็นผู้รับในวันที่17 ธันวาคม 2542 และนายภาคย์ได้มอบโฉนดที่ดินดังกล่าวกับหนังสือมอบอำนาจให้นางจำรัสไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แล้ว นางจำรัสจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300ทั้งจำเลยไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะได้รับอีก มีแต่เพียงหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาคือการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้นางจำรัส ไม่มีกรณีที่จะพิจารณาว่าสิทธิตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 122หรือไม่ การที่ผู้คัดค้านไม่คัดค้านคำร้องของนางจำรัสต่อศาลจังหวัดนนทบุรีและให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแก่นางจำรัสนั้นจึงชอบแล้ว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กลับคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านที่ใช้ดุลพินิจไม่คัดค้านตามคำแถลง ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4117/2540 ของศาลจังหวัดนนทบุรี กับเพิกถอนหนังสือของผู้คัดค้านที่ ยธ 0410/4617 ซึ่งมีไปถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีให้ทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางจำรัส มณีโชติและให้ผู้คัดค้านดำเนินการรวบรวมทรัพย์ที่ดินแปลงดังกล่าวนำมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลายนี้ต่อไปตามสิทธิที่เจ้าหนี้เหล่านั้นพึงมี

ผู้คัดค้านอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “… มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การกระทำของผู้คัดค้านที่ไม่แถลงคัดค้านคำร้องของนางจำรัส มณีโชติ โจทก์ในคดีแพ่ง และการที่ผู้คัดค้านมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี ให้โอนที่ดินให้แก่นางจำรัส มณีโชติ นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงส่วนนี้รับฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2530 นางจำรัส มณีโชติ ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 151301 จังหวัดนนทบุรี กับในราคา 675,000 บาท โดยได้ผ่อนชำระเงินตามสัญญาแล้วจำนวน 300,000 บาท หลังจากนั้นได้แจ้งให้จำเลยผู้จะขายโอนที่ดินให้ตามสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉย นางจำรัสจึงฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดนนทบุรีต่อมาวันที่ 30 ธันวาคม 2540 ศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 4117/2540 ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่นางจำรัส มณีโชติ และจำเลย โดยนายภาคย์ อิสระภาคย์ กรรมการผู้จัดการได้มอบโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจให้นางจำรัสรับไปดำเนินการโอนที่ดินดังกล่าวตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม2542 โดยนางจำรัสได้ชำระเงินส่วนที่ขาดตามคำพิพากษาให้จำเลยครบถ้วนแล้วนางจำรัสได้นำโฉนดที่ดินไปดำเนินการโอน แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากผู้ร้องได้ยึดที่ดินดังกล่าวไว้ ต่อมาวันที่ 8 พฤษภาคม 2543 ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด วันที่ 20 พฤศจิกายน 2543 นางจำรัสยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี เพื่อดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่ตนผู้คัดค้านสอบสวนแล้วจึงมีคำสั่งให้ดำเนินการตามที่นางจำรัสร้องขอ วันที่ 4 ธันวาคม2543 ผู้คัดค้านได้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีให้โอนที่ดินให้แก่นางจำรัส มณีโชติ และเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 6ธันวาคม 2543 เห็นว่า เมื่อศาลจังหวัดนนทบุรีพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้แก่นางจำรัสโดยให้นางจำรัสชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญา การที่นางจำรัสได้ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว ทั้งจำเลยได้มอบโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจให้แก่นางจำรัสไปดำเนินการโอนที่ดินก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดจึงเป็นการที่นางจำรัสในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนครบถ้วนแล้ว คงเหลือแต่เฉพาะหน้าที่ของจำเลยที่ต้องดำเนินการโอนที่ดินให้แก่นางจำรัส ถือว่าเป็นสิทธิตามคำพิพากษาที่นางจำรัสจะรับไปเพียงฝ่ายเดียว จำเลยไม่มีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ใด ๆ ตามสัญญาจะซื้อจะขายหรือตามคำพิพากษาดังกล่าวอีก กรณีมิใช่สิทธิตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่พึงได้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะปฏิเสธไม่ยอมรับทรัพย์สินหรือสิทธิดังกล่าว เช่นนี้ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการที่จะจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22การที่ผู้คัดค้านไม่คัดค้านคำร้องขอให้ถอนการยึดในคดีแพ่งและมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้ดำเนินการโอนที่ดินให้แก่นางจำรัสตามสิทธิที่นางจำรัสมีอยู่ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดนนทบุรีจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว และกรณีดังกล่าวนี้ไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 145(1) ถึง (5) จึงไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายเดียวที่ขอรับชำระหนี้ในคดีนี้แต่อย่างใด ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share