แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์มีใจความว่าจำเลยที่ 1 ใช้อุบายทุจริตล่อลวงเด็กหญิง ท. ให้ไปเซ็นชื่อรับเงินออมสิน แล้วจะให้รางวัลเป็นเงิน 8 บาท และจำเลยที่ 2 ได้บังอาจติดต่อและพูดล่อลวงเด็กหญิง ท. ให้ไปกับจำเลยที่ 1 อันเป็นอุปการะแก่การที่จำเลยที่ 1 จะได้พาเด็กหญิง ท. ไปเสียจากนาง ท.เพื่อการอนาจารดังกล่าวข้างต้นด้วยจนเด็กหญิงท. หลงเชื่อและยอมให้จำเลยที่ 1 พาไป เป็นที่เข้าใจแล้วว่า จำเลยที่ 2 ได้พูดจาล่อลวงเด็กหญิง ท. ให้หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะพาเด็กหญิงท. ไปเซ็นชื่อรับเงินและให้รางวัล ถือได้ว่าโจทก์ได้กล่าวข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดี ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพตามข้อหาโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่เข้าใจข้อหาหรือให้การรับสารภาพโดยเข้าใจผิดฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 เป็นฟ้องที่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฟ้องส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษาใหม่ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ว่า ฟ้องเฉพาะตัวจำเลยที่ 2ไม่ครบองค์ความผิด ไม่มีมูลที่จะรับไว้พิจารณาให้ยกฟ้องโจทก์ดุจคำพิพากษาเดิม
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นยังหาได้พิจารณาในข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 จะมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกครั้งหนึ่ง เฉพาะตัวจำเลยที่ 2 ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 2 ฎีกา คดีคงมีปัญหาในชั้นฎีกาเพียงว่า ข้อกล่าวหาจำเลยที่ 2 ตามฟ้องของโจทก์จะเป็นฟ้องที่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หรือไม่ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่า “จำเลยใช้อุบายทุจริตล่อลวงเด็กหญิงทองใบหรือเผือก เอียงเทศ ให้ไปเซ็นชื่อรับเงินออมสินแล้วจะให้รางวัลเป็นเงิน 8 บาท และจำเลยที่ 2 ได้บังอาจติดต่อและพูดล่อลวงเด็กหญิงทองใบ ๆ ให้ไปกับจำเลยที่ 1 อันเป็นอุปการะแก่การที่จำเลยที่ 1 จะได้พาเด็กหญิงทองใบ ๆ ไปเสียจากนางทองคำ เอียงเทศเพื่อการอนาจารดังกล่าวข้างต้นด้วยจนเด็กหญิงทองใบหลงเชื่ออุบายทุจริตล่อลวงของจำเลยทั้งสองและยอมให้จำเลยที่ 1 พาไป” เห็นว่า ข้อความที่โจทก์กล่าวหานี้เป็นที่เข้าใจได้ดีว่าจำเลยที่ 2 ได้พูดจาล่อลวงเด็กหญิงทองใบให้หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะพาเด็กหญิงทองใบไปเซ็นชื่อรับเงินและให้รางวัลข้อความตอนต้นและตอนปลายประกอบกันแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วเรียกว่าโจทก์ได้กล่าวข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดี และในคดีนี้จำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดี ได้ให้การรับสารภาพตามข้อหาอยู่แล้ว ตามสำนวนไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่เข้าใจข้อหาผิดหรือให้การรับสารภาพโดยเข้าใจผิดจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์