แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดตาม มาตรา 136,137,138 ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาทุจริต
กำนันเรียกค่าเปรียบเทียบความโดยเข้าใจว่ามีสิทธิเรียกได้ดังนี้ ไม่มีความผิด
ปัญหาว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ข้อกฎหมายที่ไม่ยอมให้จำเลยยกเอาข้อที่ตัวไม่รู้กฎหมายมาเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดนั้น จะใช้ยันจำเลยได้ต่อเมื่อจำเลยได้กระทำผิดครบองค์ความผิดอันต้องมีโทษตามกฎหมายทุกประการแล้ว
ย่อยาว
คดีได้ความว่า จำเลยเป็นกำนันได้เปรียบเทียบกรณีที่นางปุ้ยเก็บเอาบัวลดน้ำของนางอ่อนไว้ว่าเป็นลักทรัพย์ให้นางปุ้ยเสียค่าสินไหมให้แก่นางอ่อน 20 บาท แล้วจำเลยเรียกเงินค่าขึ้นศาลกำนัน 1 บาท 20 สตางค์ และชักเงินค่าสินไหมไว้อีก 4 บาท และทำบันทึกข้อตกลงยอมความให้ทั้งสองฝ่ายลงชื่อไว้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานเจตนาทุจริตต่อหน้าที่ ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 136, 137 และ 138
ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์คงฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต เพราะเดิมเมื่อเป็นดินแดนของฝรั่งเศสนั้น กำนันมีอำนาจเปรียบเทียบและชักเงินค่าธรรมเนียมได้จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาในข้อกฎหมายว่า จำเลยจะอ้างความไม่รู้กฎหมายไทยว่ากำนันเปรียบเทียบไม่ได้ แล้วมาอ้างให้พ้นผิดไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดตามที่โจทก์หาตาม มาตรา 136, 137 และ138 แห่งกฎหมายลักษณะอาญานั้น จะต้องปรากฏว่าผู้กระทำมีเจตนาทุจริตเป็นองค์ประกอบ ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า จำเลยไม่มีเจตนาทุจริต จึงเป็นอันยุติเพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา คดีต้องฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 45 ที่บัญญัติมิให้ยกเอาข้อที่ไม่รู้กฎหมายมาแก้ตัวให้พ้นผิดนั้น ย่อมหมายความว่า บุคคลได้กระทำผิดครบองค์ความผิดทุกประการแล้ว แต่หากอ้างว่าไม่รู้ตัวกฎหมายที่บัญญัติไว้ว่าเป็นความผิด ซึ่งไม่ใช่กรณีนี้ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์