แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องหาว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ว่าจำเลยได้รับคำบอกเล่าจากผู้อื่นถึงเรื่องที่โจทก์ยอมรับกับผู้นั้นว่าเป็นผู้พรากผู้เยาว์ไปจริง คำเบิกความดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่ประกอบการรับฟังว่าโจทก์ได้พรากผู้เยาว์ไปจริงหรือไม่ ถือได้ว่าโจทก์บรรยายฟ้องให้เห็นว่าข้อความที่จำเลยเบิกความเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไรแล้ว ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 274/2516 ของศาลจังหวัดมีนบุรี ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดี เพราะหากศาลเชื่อความเท็จนั้น โจทก์จะถูกลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรค 2, 181(1)
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อกล่าวหาตามฟ้องมีอัตราโทษจำคุกเกินกว่า3 ปี เกินอำนาจผู้พิพากษานายเดียวพิจารณาพิพากษา ที่ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษานายเดียวพิจารณาคำฟ้องและมีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี ขัดต่อพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 22(5) เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนมูลฟ้อง แต่เมื่อถึงวันนัดเห็นว่า คดีไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องต่อไปให้งด แล้ววินิจฉัยว่า แม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่โจทก์ฟ้อง ก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จ เป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าข้อความอันเป็นเท็จดังที่จำเลยเบิกความเป็นประเด็นอันเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีอาญาหมายเลขดำที่ 274/2516 หมายเลขแดงที่ 251/2517 ของศาลจังหวัดมีนบุรีนั้น โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยหาว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 12 ข้อสำคัญในคดีดังกล่าวก็คือ จำเลย (โจทก์คดีนี้) ได้พรากผู้เยาว์ในเพื่อการอนาจารจริงหรือไม่ ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบังอาจเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาของศาลว่า”นางสาวเพลินบุตรโจทก์ (นางสุไลคอ) หายไปเมื่อไร ข้าฯไม่ทราบแต่หายไปแล้ว 2-3 วัน มีนายก๊บน้องชายจำเลยแท้ ๆ มาที่บ้านโจทก์ข้าฯไปคุยกับโจทก์อยู่ก่อนเรื่องนางสาวเพลินหาย…….. นายก๊บพูดว่า ลูกของจำเลยที่ 1 (นายสมศักดิ์) เรียกนายก๊บมาที่บ้านของจำเลยที่ 1 นายก๊บจึงถามจำเลยที่ 1 ว่า เอ็งรู้ไหมเด็กหายไปไหนจำเลยที่ 1 บอกนายก๊บว่า กูเอาไปเอง จะทำไม………” นั้นย่อมแสดงว่าจำเลยได้รู้เห็นว่าโจทก์ยอมรับกันนายก๊บว่าเป็นผู้พรากนางสาวเพลินผู้เยาว์ไปจริง คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่ประกอบการรับฟังว่าโจทก์ได้พรากผู้เยาว์ไปจริงหรือไม่จึงเป็นข้อสำคัญในคดี ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าข้อความที่จำเลยเบิกความเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไรแล้ว ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี