คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อนี้
ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
จำเลยที่ 2 จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ฉะนั้น การบอกกล่าวบังคับจำนองจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ฎีกาประเด็นข้อนี้ จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 จะฎีกาแทนจำเลยที่ 2 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ซื้อเชื่อด้ายทอผ้าไปจากโจทก์เพื่อประกอบอุตสาหกรรมสิ่งทอของจำเลยที่ 1 หลายครั้ง โจทก์และจำเลยที่ 1 คิดบัญชีหนี้สินกัน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ตามเช็ค 14 ฉบับ เป็นเงิน 861,889 บาท จำเลยที่ 1 จึงทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ โดยสัญญาว่าจะผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวให้โจทก์เดือนละ 40,000 บาท และได้มอบเช็คให้โจทก์ไว้ 22 ฉบับ เป็นเช็คสั่งจ่ายเงินฉบับละ 40,000 บาท เพื่อให้โจทก์นำไปขึ้นเอาเงินมาชำระหนี้ดังกล่าว นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้ซื้อสินค้าเชื่อไปจากโจทก์เพื่อการอุตสาหกรรมของจำเลยที่ 1 อีกหลายครั้งรวมเป็นเงิน 751,871 บาท และได้มอบเช็คให้โจทก์ไว้ 14 ฉบับ เพื่อให้นำไปขึ้นเอาเงินมาชำระหนี้

จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในหนี้ที่มีอยู่ในขณะทำสัญญาค้ำประกัน และหนี้ที่จะมีขึ้นในอนาคต และจำเลยที่ 2 ได้จำนองที่ดินโฉนดที่ 627 เป็นประกันในวงเงินไม่เกิน 2,800,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวโดยโจทก์นำเช็คที่จำเลยที่ 1 มอบให้เพื่อชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ไปขึ้นเงินจากธนาคารได้เพียงฉบับเดียวเป็นเงิน 40,000 บาท เช็คนอกนั้นธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งหมด จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระหนี้ที่ยังค้างทั้งหมดเป็นเงิน821,889 บาท ส่วนเช็ค 14 ฉบับที่จำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อสินค้ารวมเป็นเงิน 751,871 บาทนั้น ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ โจทก์จึงให้ทนายความแจ้งการบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 2 แต่ไม่ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนอง ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 1,673,036.23 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย ฯลฯ หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระเงินและดอกเบี้ยดังกล่าวไถ่ถอนจำนอง ให้ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองใช้หนี้โจทก์ ถ้าขายได้เงินสุทธิไม่พอใช้หนี้โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 รับผิดใช้หนี้ที่ยังขาดจนครบ

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้โจทก์ไม่เต็มจำนวนตามสัญญา โจทก์และจำเลยที่ 1 ยังมิได้บอกเลิกสัญญาที่จะติดต่อซื้อขายกันและจำเลยที่ 2 ก็ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันโจทก์มิได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ก่อนฟ้อง จำเลยที่ 1 จึงยังไม่ผิดนัด จำเลยที่ 2 ไม่เคยทราบถึงหนี้จำนวนนี้มาก่อนในขณะทำสัญญาจำนองที่ดินค้ำประกันจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ตกเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้จำนวนนี้ และจำเลยที่ 2 ตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ฯลฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 1,670,036.23บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีในจำนวนหนี้ 1,573,760 บาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวนดังกล่าวไถ่ถอนการจำนองจากโจทก์ถ้าไม่ไถ่ถอน ให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดใช้หนี้โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอใช้หนี้โจทก์ ให้จำเลยที่ 2รับผิดใช้หนี้ที่ยังขาดจนครบ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้หนี้จำนวน 1,573,760 บาทพร้อมกับดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ฎีกาฝ่ายเดียว

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับเช็ค 14 ฉบับ ที่บริษัทจำเลยที่ 1 ออกให้บริษัทโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่อย่างใด ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น ไม่ใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาเพราะไม่ใช่ข้อที่จำเลยที่ 1 ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1

ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับบริษัทจำเลยที่ 1 และการบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะเมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ฎีกา ประเด็นทั้งสองก็เป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 จะฎีกาแทนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

พิพากษายืน

Share