แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์เรื่องจำเลยออกเช็คไม่มีเงินต่อพนักงานตำรวจสถานีตำรวจบางซื่อตามเอกสารคำร้องทุกข์ว่า ให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีจนถึงที่สุด แม้ผู้เสียหายจะเบิกความต่อศาลว่าไม่มีเจตนาจะให้เอาโทษจำเลย ขอให้ได้เงินคืนเท่านั้น และว่าเมื่อวันไปแจ้งความที่สถานีตำรวจก็ได้บอกตำรวจด้วยว่า ต้องการเงินคืนเท่านั้น ไม่อยากให้เอาโทษตำรวจจึงยังไม่ได้สอบสวน เมื่อเห็นว่า จำเลยไม่คืนเงินจึงบอกให้ตำรวจจับจำเลย และได้เริ่มสอบสวนต่อไปเช่นนี้ ก็ยังถือได้ว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ตามกฎหมายแล้ว คำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวข้างต้นนั้น หาแสดงว่าผู้เสียหายไม่เจตนาเอาโทษแก่จำเลยโดยแท้จริงไม่ เป็นแต่ผู้เสียหายอยากได้เงินคืนมากกว่าเมื่อไม่ได้เงินคืนจากจำเลย ก็ได้บอกให้ตำรวจจับจำเลยดำเนินการสอบสวนต่อไปเป็นการชัดแจ้งอยู่แล้วว่าผู้เสียหายต้องการเอาโทษจำเลยตามคำร้องทุกข์นั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คให้แก่นางเพ็ญศรี ให้ใช้เงิน 36,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนสูงกว่าที่มีในบัญชี และเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเหตุเกิดวันที่ 17 ส.ค. 2500 ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2500ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์แล้วสั่งงดสืบพยานจำเลย และวินิจฉัยว่านางเพ็ญศรีเบิกความต่อศาลว่า การที่นางเพ็ญศรีแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนนั้น นางเพ็ญศรีมิได้ต้องการเอาโทษแก่จำเลยจริงจังหากต้องการให้พนักงานสอบสวนเอาเงินคืนจากจำเลยให้เท่านั้นทั้งยังให้จำเลยกู้เงินไปอีก15,000 บาท พฤติการณ์เช่นนี้นางเพ็ญศรีไม่ต้องการร้องทุกข์เพื่อให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีเอาโทษแก่จำเลย การร้องทุกข์และมอบคดีจึงไม่เป็นผลอะไร ถือได้ว่าไม่มีการร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้ว ผู้เสียหายต้องการได้เงินมากกว่าจะต้องการให้จำเลยรับโทษ ก็เพราะเป็นความผิดอันยอมความกันได้ เมื่อผู้เสียหายไม่ได้เงินก็ให้ดำเนินคดีต่อไป การร้องทุกข์นั้นชอบด้วยกฎหมาย ภายใน 3 เดือนไม่ขาดอายุความพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิจารณาสืบพยานจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว คดีนี้นางเพ็ญศรีผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสาร ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2500 ให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีจนถึงที่สุด แม้นางเพ็ญศรีจะเบิกความต่อศาลว่า ไม่มีเจตนาจะให้เอาโทษจำเลย ขอให้ได้เงินคืนเท่านั้น และว่า เมื่อวันไปแจ้งความที่สถานีตำรวจก็ได้บอกตำรวจด้วยว่า ต้องการเงินคืนเท่านั้น ไม่อยากให้เอาโทษ ตำรวจจึงยังไม่ได้สอบสวน เมื่อเห็นว่าจำเลยไม่คืนเงินจึงบอกให้ตำรวจจับจำเลยและได้เริ่มสอบสวนต่อไป ศาลฎีกาก็เห็นว่า นางเพ็ญศรีได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ตามกฎหมายแล้ว คำเบิกความดังกล่าว หาแสดงว่านางเพ็ญศรีไม่เจตนาเอาโทษแก่จำเลยโดยแท้จริงไม่ เป็นแต่นางเพ็ญศรีอยากได้เงินคืนมากกว่า เมื่อไม่ได้เงินคืนจากจำเลย ก็ได้บอกให้ตำรวจจับจำเลยดำเนินการสอบสวนต่อไป เป็นการชัดแจ้งอยู่แล้วว่าต้องการเอาโทษจำเลยตามคำร้องทุกข์ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2500 นั้นคดีไม่ขาดอายุความ พิพากษายืน