คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7255/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยทั้งเจ็ด มิใช่หนี้ร่วมที่จำเลยทั้งเจ็ดต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ หากแต่เป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์มูลความแห่งคดีที่จำเลยทั้งเจ็ดจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษา จึงเป็นการชำระหนี้ที่อาจแบ่งแยกจากกันได้ หาได้เกี่ยวข้องกันไม่ ดังนี้ โจทก์จะเสนอคำฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดรวมมาในคดีเดียวกันมิได้
การที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ไว้พิจารณาโดยขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 และเมื่อความปรากฏต่อศาลชั้นต้นก่อนศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องเป็นไม่รับคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจยอมรับคดีสำหรับจำเลยดังกล่าว ซึ่งอยู่นอกเขตศาลชั้นต้นไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งเจ็ดเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา เมื่อนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจนถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ จำเลยทั้งเจ็ดจะต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์โดยจำเลยที่ 1 ต้องชำระจำนวน 1,626,084 บาท จำเลยที่ 2ชำระจำนวน 123,397.30 บาท จำเลยที่ 3 ชำระจำนวน 192,162.89 บาท จำเลยที่ 4ชำระจำนวน 92,061.61 บาท จำเลยที่ 5 ชำระจำนวน 74,756.38 บาท จำเลยที่ 6ชำระจำนวน 81,424.45 บาท และจำเลยที่ 7 ชำระจำนวน 90,945.86 บาท ตามลำดับ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งเจ็ดเพื่อนำมาชำระหนี้แก่โจทก์ และโจทก์ได้พยายามสืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งเจ็ดแล้ว แต่จำเลยทั้งเจ็ดไม่มีทรัพย์สินใดอันจะพึงยึดมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้จำเลยแต่ละคนเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่าคนละ 50,000 บาท และเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอน ถือได้ว่าจำเลยทั้งเจ็ดเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งเจ็ดเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ว่า จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 7 ไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ จำเลยที่ 4 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสมุทรสาคร และจำเลยที่ 7 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมและมีคำสั่งใหม่ว่า ไม่รับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 7ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 7 ออกจากสารบบความ โจทก์ทราบคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2538

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 7

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้รับฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 7 และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องจำเลยดังกล่าวและจำหน่ายคดีจากสารบบความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า มูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นหนี้ร่วมที่จำเลยทั้งเจ็ดต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดต่อศาลชั้นต้นที่จำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(5) นั้น เห็นว่า มูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยทั้งเจ็ด หาใช่หนี้ร่วมที่จำเลยทั้งเจ็ดต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์แต่อย่างใดไม่ หากแต่เป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์ มูลความแห่งคดีที่จำเลยทั้งเจ็ดจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาจึงเป็นการชำระหนี้ที่อาจแบ่งแยกจากกันได้ หาได้เกี่ยวข้องกันไม่ โจทก์จะเสนอคำฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดรวมมาในคดีเดียวกันมิได้ กรณีจึงต้องบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 ซึ่งบัญญัติว่า “การยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลาย ให้ยื่นต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขต ไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนในขณะที่ยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอ หรือภายในกำหนดเวลา 1 ปี ก่อนนั้น” เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งกรุงเทพใต้จำเลยที่ 4 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสมุทรสาคร และจำเลยที่ 7มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ศาลชั้นต้นจึงมิใช่ศาลที่จำเลยที่ 1จำเลยที่ 4 จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 7 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้อง ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7ไว้พิจารณาย่อมขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 และเมื่อความปรากฏต่อศาลชั้นต้นก่อนศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์เช่นนี้การที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องเป็นไม่รับคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 จึงถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจยอมรับคดีสำหรับจำเลยดังกล่าวซึ่งอยู่นอกเขตศาลชั้นต้นไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(5) คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share