คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 204/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์จะนำคดีขึ้นสู่ศาลใดนั้น มิได้พิจารณาว่าคดีนั้นผู้พิพากษาคนเดียวหรือสองคนเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาพิพากษา แต่ต้องพิจารณาว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจของศาลใดเป็นสำคัญ เมื่อคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลใดแล้ว อีกศาลหนึ่งไม่มีอำนาจรับคดีเรื่องนั้นไว้พิจารณาพิพากษา เว้นแต่จะมีบทกฎหมายบัญญัติให้อำนาจที่จะรับไว้พิจารณาพิพากษาได้ คดีนี้แม้ศาลจังหวัดราชบุรีได้รับฟ้องโจทก์ไว้และมีการพิจารณาแล้วก็ตาม แต่เมื่อปรากฏในภายหลังว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงราชบุรีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25(4) ไม่ใช่คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลจังหวัดราชบุรี ศาลจังหวัดราชบุรีย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 ทั้งไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดให้อำนาจศาลจังหวัดราชบุรีที่จะใช้ดุลพินิจรับคดีไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปได้ ดังนั้น การที่ศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงราชบุรีซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 16663 ตำบลบ้านสิงห์(บ้านกำแพง) อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ต่อมาจำเลยได้ขอออกโฉนดที่ดินเลขที่ 35110 ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ทับที่ดินตามโฉนดของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางวา โจทก์ได้ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนแก้ไขที่ดินให้ถูกต้องแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยอ้างว่าเป็นที่ดินของจำเลยครอบครองมา โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินของจำเลยในส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 300 บาท ทุกเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินของโจทก์

จำเลยให้การว่า ที่ดินของจำเลยตามโฉนดที่ดินเลขที่ 35110 ไม่มีส่วนใดทับที่ดินของโจทก์ สำหรับที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 16663 ที่โจทก์อ้างตามฟ้องนั้นไม่มีแล้ว จำเลยไม่ได้ละเมิดต่อโจทก์ หากโจทก์เสียหายก็ไม่เกินปีละ 10 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาศาลจังหวัดราชบุรีให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 16663 ของโจทก์ และโฉนดที่ดินเลขที่ 35110 ของจำเลย เพื่อทำแผนที่พิพาทซึ่งปรากฏตามแผนที่พิพาทว่ามีที่ดินส่วนที่โฉนดที่ดินทั้งสองแปลงทับกันเป็นที่ดินพิพาท3 ตารางวา ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีที่มีการกล่าวแก้ข้อพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จึงให้คู่ความตีราคาที่ดินพิพาทให้โจทก์เรียกค่าขึ้นศาลเป็นคดีมีทุนทรัพย์ คู่ความตีราคาที่ดินพิพาทเป็นเงิน 30,000 บาท

ศาลจังหวัดราชบุรีเห็นว่า คดีเรื่องนี้เป็นคดีเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงราชบุรีและอยู่ในอำนาจของศาลแขวงราชบุรี จึงมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลแขวงราชบุรีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย

จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า คดีเรื่องนี้ศาลจังหวัดราชบุรีรับฟ้องไว้และมีการพิจารณาคดีแล้ว ก็ย่อมมีอำนาจหน้าที่ต้องพิจารณาพิพากษาให้คดีเสร็จไปโดยไม่จำต้องโอนคดีไปยังศาลแขวงราชบุรีแต่อย่างใด เพราะเมื่อผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเรื่องนี้ ผู้พิพากษาในศาลจังหวัดสองคนก็ย่อมมีอำนาจเช่นกัน จำเลยไม่เห็นด้วยกับการที่ศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงราชบุรีนั้น เห็นว่า ในการที่โจทก์จะนำคดีขึ้นสู่ศาลใดนั้น มิได้พิจารณาว่าคดีนั้นผู้พิพากษาคนเดียวหรือสองคนเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้ดังเช่นที่จำเลยอุทธรณ์หรือไม่ แต่ต้องพิจารณาว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจของศาลใดเป็นสำคัญ เมื่อคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลใดแล้ว อีกศาลหนึ่งไม่มีอำนาจรับคดีเรื่องนั้นไว้พิจารณาพิพากษา เว้นแต่จะมีบทกฎหมายบัญญัติให้มีอำนาจที่จะรับไว้พิจารณาพิพากษาได้ซึ่งคดีเรื่องนี้แม้ศาลจังหวัดราชบุรีได้รับฟ้องโจทก์ไว้และมีการพิจารณาแล้วดังเช่นจำเลยอุทธรณ์ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏภายหลังว่าเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงราชบุรีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25(4) ไม่ใช่คดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดราชบุรีเสียแล้ว ศาลจังหวัดราชบุรีก็ย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเรื่องนี้ได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 ทั้งไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดให้อำนาจศาลจังหวัดราชบุรีที่จะใช้ดุลพินิจรับไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปได้ด้วย ดังนั้น การที่ศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งให้โอนคดีเรื่องนี้ไปยังศาลแขวงราชบุรีซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้นั้น เป็นการชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้ายแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share