คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3679/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามบทบัญญัติ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่มีความหมายว่าผู้ยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้นใหม่ได้เฉพาะกรณีที่ผู้ยื่นคำขอได้นำพยานหลักฐานมาสืบตามคำขอฉบับเดิมไว้บ้างแล้ว แต่พยานหลักฐานของผู้ยื่นคำขอที่นำสืบไว้แล้ว ยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าเป็นคนยากจน กฎหมายจึงเปิดช่องให้ผู้ยื่นคำขอร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้อีก เมื่อคดีนี้ไม่มีการสืบพยานจำเลย เนื่องจากในวันนัดไต่สวนคำร้องจำเลยไม่ไปศาล ศาลชั้นต้นจึงถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ ยกคำร้องของจำเลย กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ จำเลยจะมายื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคำร้องใหม่ เพื่ออนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ อีกไม่ได้ ศาลชอบที่จะยกคำร้องโดยไม่จำต้องรับคำร้องดังกล่าวไว้ไต่สวนอีกต่อไป
คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา คำร้องอุทธรณ์คำสั่งหรือฎีกาคำสั่งตลอดจนการดำเนินกระบวนการพิจารณาในชั้นไต่สวนอนาถานี้ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคท้าย ที่จำเลยเสียค่าคำร้องค่าคำขอ ค่าอ้างเอกสารในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนอนาถาโดยที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งคืนให้แก่จำเลย รวมทั้งที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งให้ค่าคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยเสียมาเป็นพับแก่จำเลยนั้น จึงเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ดินเลขที่ 2401 ของโจทก์ โดยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในที่ดินพิพาทนับแต่มีคำพิพากษาเป็นต้นไป และให้จำเลยปรับปรุงที่ดินพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนการเช่า หากไม่ปฏิบัติตามให้ใช้ค่าเสียหาย 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท และทำที่ดินพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนการเช่า

จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2540 ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้อง ในวันนัดไต่สวนคำร้องนัดที่ 4 ในวันที่ 18 สิงหาคม 2541 ปรากฏว่าจำเลยไม่มาศาลศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยขอเลื่อนคดีติดต่อกันมาแล้วถึง 3 ครั้ง และในนัดนี้จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือร้องขอเลื่อนคดี ถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้รับฟังได้ตามคำร้อง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย หากจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปก็ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 15 วัน

จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2541 ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยต่อไปโดยอ้างว่าจำเลยมิได้จงใจทิ้งคำร้องหรือประวิงเวลา และจำเลยไม่มีเงินค่าธรรมเนียมศาลที่จะมาวางได้

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2540 ของจำเลยไปแล้ว และไม่มีกฎหมายบัญญัติให้จำเลยร้องขอพิจารณาคำขอนั้นใหม่โดยอ้างเหตุไม่จงใจมาศาลหากจำเลยประสงค์ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ได้ ยกคำร้อง

ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 28 สิงหาคม 2541 ขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์นั้นใหม่อีก

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนว่าจำเลยยังคงมีรายได้จากการประกอบอาชีพร้านขายอาหารและมีทรัพย์สินเป็นที่ดิน 1 แปลงเนื้อที่ 6 ไร่ ซึ่งมีภาระจำนอง กรณียังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนยากจนและไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ได้ จึงให้ยกคำร้อง และให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 30 วัน

จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 28 มีนาคม 2543 ขอให้ศาลไต่สวน และพิจารณาคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ใหม่เพื่อให้โอกาสจำเลยนำพยานหลักฐานมาสืบเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนและไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ได้

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับคำร้องของจำเลยไว้ดำเนินการไต่สวน ระหว่างไต่สวนศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้ว เห็นว่า การยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยครั้งนี้เป็นการยื่นครั้งที่ 3 จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 28 มีนาคม 2543 ไว้ไต่สวนเป็นการสั่งโดยผิดหลงจึงให้เพิกถอนคำสั่งรับคำร้องและนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ค่าคำร้องให้เป็นพับ (ที่ถูกต้องระบุว่ามีคำสั่งใหม่ให้ยกคำร้องฉบับลงวันที่28 มีนาคม 2543 มาด้วย) หากจำเลยประสงค์ที่จะดำเนินคดีนี้ต่อไปก็ให้นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด 15 วัน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2540 แต่จำเลยไม่นำพยานมาไต่สวน 3 ครั้งติดต่อกัน ศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบและให้ยกคำร้อง ต่อมาวันที่ 28สิงหาคม 2541 จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตนำพยานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจนศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วยกคำร้อง เห็นว่า การยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ต้องเป็นเรื่องที่จำเลยนำพยานมาสืบบ้างแล้ว แต่คดีนี้ไม่มีการสืบพยาน กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 156 วรรคสี่ ที่ศาลชั้นต้นรับคำร้องฉบับลงวันที่ 28 สิงหาคม2541 ของจำเลยไว้ไต่สวนจึงไม่ถูกต้อง จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ดังนั้น การที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 28 มีนาคม 2543 ขออนุญาตนำพยานมาแสดงเพิ่มเติมจึงเป็นการไม่ชอบ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับหากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด 15 วัน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าคำร้องฉบับลงวันที่ 28 สิงหาคม2541 ของจำเลย เป็นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำร้องฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2540ใหม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ หรือไม่ ศาลฎีกาได้พิจารณาคำร้องฉบับลงวันที่ 28 สิงหาคม 2541 ของจำเลยแล้วเห็นว่า จำเลยได้อ้างมาในคำร้องว่า จำเลยเป็นคนยากจนและจำเลยต้องถูกจำคุกตามคำพิพากษาศาลฎีกาตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2541 ยิ่งทำให้ครอบครัวจำเลยซึ่งไม่มีรายได้อื่นต้องเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส จำเลยไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2540 ของจำเลยโดยไม่มีการไต่สวน ทำให้จำเลยไม่ได้เสนอพยานหลักฐานเกี่ยวกับความยากจนของจำเลยต่อศาล หากจำเลยเสนอพยานหลักฐานแล้ว จะทำให้เห็นได้ว่าจำเลยเป็นคนยากจน ขอให้ศาลอนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมให้ปรากฏในสำนวนว่าจำเลยเป็นคนยากจนไม่มีเงินหรือทรัพย์สินใดที่จะนำมาวางศาลเป็นค่าธรรมเนียมศาลได้ และให้มีการพิจารณาคำร้องฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2540 ของจำเลยใหม่ตามคำร้องของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยประสงค์จะใช้สิทธิขอสืบพยานเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ มิใช่กรณีที่จำเลยตกเป็นคนยากจนลงภายหลังและจำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคหนึ่ง ตอนท้ายคดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ เป็นเรื่องที่ต้องมีการสืบพยานมาบ้างแล้วหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ บัญญัติไว้ว่า “ถ้าศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แต่เฉพาะบางส่วนหรือมีคำสั่งให้ยกคำขอเสียทีเดียว ผู้ยื่นคำขออาจยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนก็ได้” ตามบทบัญญัติดังกล่าวย่อมมีความหมายอยู่ในตัวเองว่า ผู้ยื่นคำขอจะยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่ได้เฉพาะกรณีที่ผู้ยื่นคำขอได้นำพยานหลักฐานมาสืบตามคำขอฉบับเดิมไว้บ้างแล้ว แต่พยานหลักฐานของผู้ยื่นคำขอที่นำสืบไว้แล้ว ยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าเป็นคนยากจน กฎหมายจึงเปิดช่องให้ผู้ยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้อีก เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าไม่มีการสืบพยานจำเลยเลยแม้แต่ปากเดียว กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ การดำเนินกระบวนพิจารณาของจำเลยจึงไม่ถูกต้อง ซึ่งเรื่องทำนองนี้ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยเป็นแบบอย่างไว้แล้ว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491-492/2524 ระหว่างนางชนิดา มหาปิยศิลป์ โจทก์ บริษัทวีนิล จำกัด กับพวกจำเลย จำเลยจะอ้างว่าเป็นการตีความจำกัดสิทธิของจำเลยโดยมิชอบหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องฉบับลงวันที่ 28 สิงหาคม 2541 ของจำเลยแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จำเลยก็จะมายื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคำร้องฉบับลงวันที่ 28สิงหาคม 2541 ใหม่ เพื่ออนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่า ตนเป็นคนยากจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ อีกไม่ได้เพราะคำร้องฉบับลงวันที่ 28 สิงหาคม 2541 เป็นคำร้องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องยกคำร้องฉบับลงวันที่ 28 มีนาคม 2543ของจำเลยดังกล่าวเสียโดยไม่จำต้องรับคำร้องดังกล่าวของจำเลยไว้ไต่สวนอีกต่อไปที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่รับคำร้องฉบับลงวันที่ 28 สิงหาคม 2541 ของจำเลยโดยวินิจฉัยว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และวินิจฉัยว่าการยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 28 มีนาคม 2543 ของจำเลยที่ขออนุญาตนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมเป็นการไม่ชอบแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องฉบับลงวันที่ 28 มีนาคม 2543 ของจำเลยนั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา คำร้องอุทธรณ์คำสั่งหรือฎีกาคำสั่งตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนอนาถานี้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคท้าย ที่จำเลยเสียค่าคำร้องค่าคำขอ ค่าอ้างเอกสารในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนอนาถานี้ โดยที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งคืนให้แก่จำเลย รวมทั้งที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งให้ค่าคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยเสียมาให้เป็นพับแก่จำเลยนั้นยังไม่ถูกต้อง เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และเห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จำเลยเสียมาให้แก่จำเลยเสียด้วย”

พิพากษายืน แต่ให้คืนเฉพาะค่าธรรมเนียมศาลในชั้นขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาทั้งสามศาลให้แก่จำเลย ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกนั้นให้เป็นพับ หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อไป ก็ให้นำค่าธรรมเนียมศาลที่จะต้องชำระในชั้นอุทธรณ์นี้มาวางต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกานี้

Share