คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2947/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือมิได้เป็นไปตามข้อตกลง โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ได้แก้ไขให้เป็นไปตามข้อตกลงหรือเจตนารมณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งสาม แต่โจทก์หาได้ใช้สิทธิดังกล่าวไม่ กลับใช้สิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา ซึ่งการจะขอแก้ไขข้อผิดพลาดได้จะต้องเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคแรก เมื่อส่วนที่โจทก์ขอแก้ไขและศาลชั้นต้นไม่อนุญาตนั้นเป็นการเพิ่มความรับผิดให้จำเลยทั้งสามต้องรับผิดมากขึ้นกว่าเดิม จึงมิใช่ข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ แม้จำเลยทั้งสามจะไม่คัดค้านโจทก์ก็ไม่อาจขอแก้ไขได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสาม โดยจำเลยทั้งสามยอมรับผิดชำระหนี้เงินให้แก่โจทก์ ซึ่งตามสัญญาข้อ 5 มีความว่า หากจำเลยทั้งสามผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใดหรือเดือนหนึ่งเดือนใด ให้ถือว่าจำเลยทั้งสามผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมดและยินยอมให้โจทก์บังคับคดีในหนี้ที่ค้างชำระได้ทันที และจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 6 ต่อปีจากต้นเงินที่ค้างชำระนับแต่วันที่ผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น โดยยอมให้โจทก์ยึดอายัดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน

โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความว่า โจทก์พิมพ์นามสกุลของจำเลยที่ 3 ในสัญญาประนีประนอมยอมความผิดพลาด โดยขอแก้นามสกุลจาก “วงษ์สัจจานนันท์” เป็น “วงษ์สัจจานันท์” และข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 บรรทัดที่ 2 นับจากด้านล่างโจทก์พิมพ์ตกผิดพลาดไปจากเจตนารมณ์ที่ตกลงไว้กับจำเลยทั้งสามจากเดิมว่า “และจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดใน…” ขอแก้ไขเพิ่มเติมเป็นว่า “และจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดในเบี้ยปรับที่โจทก์ลดให้อีกจำนวน 489,589.55 บาท และดอกเบี้ยที่โจทก์ลดให้อีกจำนวน 124,652.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยใน…”

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้แก้ไขเฉพาะนามสกุลของจำเลยที่ 3 คำร้องในส่วนอื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า คดีนี้โจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว มิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือมิได้เป็นไปตามข้อตกลง โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง ทั้งนี้เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ได้แก้ไขให้เป็นไปตามข้อตกลงหรือเจตนารมณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งสาม แต่โจทก์หาได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาดังกล่าวไม่ กลับใช้สิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาซึ่งการจะขอแก้ไขข้อผิดพลาดได้จะต้องเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคแรก โดยเฉพาะในส่วนที่โจทก์ขอแก้ไขและศาลชั้นต้นไม่อนุญาตนั้นเป็นการเพิ่มความรับผิดให้จำเลยทั้งสามต้องรับผิดมากขึ้นกว่าเดิม จึงมิใช่ข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ แม้จำเลยทั้งสามจะไม่คัดค้านโจทก์ก็ไม่อาจขอแก้ไขได้ คำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share