คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3067/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อใด หากจำเลยไม่เห็นด้วยก็ต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับอุทธรณ์ในข้อที่ไม่รับนั้นได้ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ ต้องถือว่าคำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุดศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของจำเลยตามประเด็นข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้เท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้อง โจทก์เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยตามคำพรรณนาโจทก์หลงเชื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและผ่อนชำระเงินมัดจำแก่จำเลย รวมเป็นเงิน630,000 บาท เวลาล่วงเลยมานานประมาณ 5 ปี จำเลยยังไม่จัดทำโครงการตามที่ได้พรรณนาไว้ อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวไม่ขัดกันจึงไม่เคลือบคลุม ทั้งไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ถูกหลอกลวงถึงขนาดหรือไม่เพียงใดเพราะโจทก์มิได้ฟ้องขอให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะอันเนื่องมาจากการบอกล้างสัญญาที่เกิดจากกลฉ้อฉล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2533 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงเลขที่ 29 ในโครงการหาดใหญ่ เอ็กซ์คลูซีฟ กอล์ฟ คลับ จากจำเลย เนื้อที่ประมาณ400 ตารางวา ราคา 1,950,000 บาท ตามคำพรรณนาของจำเลยว่าจำเลยจะจัดทำสนามกอล์ฟ โรงแรม ศูนย์กีฬา สวนนกและสวนไม้ประดับในพื้นที่ตั้งโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2535 โดยที่ดินที่จะซื้อขายนี้จำเลยได้จัดสรรบริเวณสนามกอล์ฟและริมทะเลสาปแบ่งขายเฉพาะสมาชิกสนามกอล์ฟในโครงการของจำเลยเท่านั้น ก่อนและในวันทำสัญญาดังกล่าว โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินบางส่วนเป็นเงิน 150,000 บาท แก่จำเลย โดยมีข้อตกลงว่าเงินส่วนที่เหลืออีก 600,000 บาท โจทก์จะผ่อนชำระให้จำเลยเป็นรายเดือนเดือนละ 30,000 บาท รวม 20 งวด เริ่มแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2533 เป็นต้นไป หลังจากทำสัญญาแล้วโจทก์ผ่อนชำระเงินให้จำเลยถึงวันที่ 30 มีนาคม 2535 เป็นเงิน 480,000 บาท แต่จำเลยไม่ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามคำพรรณนา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายแก่จำเลยและเรียกเงินค่าซื้อที่ดินที่ชำระแล้ว 630,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คืน แต่จำเลยเพิกเฉย คิดดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 155,330.25 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 785,330.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 630,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ได้กำหนดเวลาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์ผ่อนชำระเงินมัดจำให้จำเลยเพียง 480,000 บาท ยังไม่ครบถ้วน โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิริบเงินประกันและเงินมัดจำที่โจทก์ชำระไว้ได้ โจทก์สละเงื่อนเวลาที่กำหนดให้จำเลยต้องจัดทำโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2535 โดยใช้สิทธิการเป็นสมาชิกจากการซื้อที่ดินเข้ามาใช้บริการสนามกอล์ฟของจำเลยเป็นประจำ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายให้แจ้งชัดว่าโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงิน 630,000 บาท ในฐานที่จำเลยผิดสัญญาหรือหลอกลวงโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 630,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 30 มิถุนายน 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องไม่ให้เกิน 155,330.25 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งรับโดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของจำเลยแล้วมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อใด หากจำเลยไม่เห็นพ้องด้วยก็ชอบที่จะยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยภายกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้นได้ เมื่อศาลชั้นต้นส่งอุทธรณ์ของจำเลยพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์บางข้อของจำเลยภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ต้องถือว่าคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวถึงที่สุด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำต้องวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของจำเลยไปตามประเด็นข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 นั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ปัญหาประการหลังมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยตามคำพรรณนาของจำเลยว่า จำเลยจะจัดทำสนามกอล์ฟ สโมสรกอล์ฟ โรงแรม สนามแบดมินตัน ภัตตาคาร สระว่ายน้ำ ศูนย์กีฬา สนามเทนนิส สวนนก และสวนไม้ประดับในพื้นที่ตามโครงการหาดใหญ่ เอ็กซ์คลูซีพ กอล์ฟ คลับ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2535 โจทก์หลงเชื่อเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและผ่อนชำระเงินมัดจำตามข้อตกลงแก่จำเลยตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2533 ถึง วันที่ 30 มีนาคม 2535 รวมเป็นเงิน 630,000 บาท และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าบัดนี้เวลาล่วงเลยมานานประมาณ 5 ปี จำเลยยังไม่สามารถจัดทำโครงการตามที่ได้พรรณนาโฆษณาไว้ อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยและขอคืนเงินมัดจำที่โจทก์ได้ชำระไปแล้วพร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์อันเป็นคำขอบังคับโดยชัดแจ้งแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ดังกล่าวหมายความว่า โจทก์ถูกหลอกลวงโดยหลงเชื่อตามคำพรรณนาที่จำเลยโฆษณาไว้จนเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลย เมื่อจำเลยไม่ทำการก่อสร้างสาธารณูปโภคให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามคำพรรณนาที่โฆษณาไว้อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาและเรียกเงินที่ชำระแก่จำเลยไปแล้วคืนพร้อมดอกเบี้ยในฐานที่จำเลยผิดสัญญาดังกล่าว คำฟ้องโจทก์จึงหาขัดกันไม่ทั้งไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ถูกหลอกลวงถึงขนาดหรือไม่เพียงใดเพราะรูปคดีโจทก์มิได้ฟ้องขอให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นโมฆะอันเนื่องมาจากการบอกล้างสัญญาที่เกิดจากกลฉ้อฉล ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนฎีกาข้ออื่นนอกจากที่ได้วินิจฉัยมาแล้วได้ยุติไปตามคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยของศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share