คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยนำที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของจำเลยไปแลกเปลี่ยนกับที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของโจทก์โดยโจทก์จำเลยตกลงจะไปจดทะเบียนโอนสิทธิในภายหลัง ดังนี้ แม้การแลกเปลี่ยนที่ดินพิพาทยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่จำเลยส่งมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครอง อันเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาบางส่วนแล้ว สัญญาแลกเปลี่ยนจึงบังคับได้เช่นเดียวกับสัญญาจะขายหรือจะซื้อสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456วรรคสอง ไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงนำที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4008 ซึ่งเป็นของจำเลยแลกเปลี่ยนกับที่ดินของโจทก์ มีเนื้อที่และราคาเท่ากัน โจทก์จำเลยตกลงสละสิทธิครอบครองให้แก่กันและกันแล้ว และจะไปจดทะเบียนโอนสิทธิในภายหลัง โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยเจตนายึดถือเป็นเจ้าของเป็นเวลาประมาณ 10 ปี แล้ว ไม่มีจำเลยหรือผู้ใดเข้ารบกวนหรือขัดขวางการครอบครองของโจทก์ ส่วนจำเลยเข้าครอบครองทำนาข้าวในที่ดินของโจทก์ตลอดมาเช่นกัน โดยยังไม่ได้จดทะเบียนโอนสิทธิให้แก่กันจนบัดนี้ โจทก์ติดต่อให้จำเลยไปจดทะเบียนนิติกรรมโอนสิทธิในที่ดินพิพาทแก่โจทก์และโจทก์จะโอนที่ดินของโจทก์แก่จำเลยพร้อมกันไปตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนเดิมแต่จำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนให้โจทก์กลับเข้าขัดขวางมิให้โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาท ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิครอบครองของโจทก์ และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ให้จำเลยไปจดทะเบียนนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทตามหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4008 ให้แก่โจทก์ และให้จำเลยรับโอนที่ดินจากโจทก์ด้วยหากจำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนางแวแซมะ แวหะยี มารดาจำเลยครอบครองเกิน 10 ปี แล้ว เมื่อมารดาจำเลยถึงแก่กรรมจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา ไม่เคยตกลงเปลี่ยนที่ดินพิพาทกับโจทก์ และไม่เคยสละสิทธิให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4008 หมู่ที่ 2 ตำบลประจัน อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ เป็นสิทธิครอบครองของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาได้เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยตกลงนำที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ1 ไร่ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4008 เอกสารหมาย ล.1 แลกเปลี่ยนกับที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เอกสารหมายจ.1 และตกลงจะไปจดทะเบียนโอนสิทธิในภายหลังหลังจากตกลงแลกเปลี่ยนกันแล้วจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ครอบครองตลอดมาเป็นเวลาประมาณ 10 ปี โดยมิได้จดทะเบียนโอนสิทธิแก่โจทก์ คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า สัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินพิพาทเป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่า การแลกเปลี่ยนนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 519 บัญญัติว่า บทบัญญัติทั้งหลายในลักษณะซื้อขายนั้นท่านให้ใช้ถึงการแลกเปลี่ยนด้วย ดังนี้ แม้การแลกเปลี่ยนที่ดินพิพาทยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ครอบครองตลอดมาเป็นเวลาประมาณ 10 ปี อันเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาบางส่วนแล้วสัญญาแลกเปลี่ยนดังกล่าวจึงบังคับได้เช่นเดียวกับสัญญาจะขายหรือจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง หาเป็นโมฆะไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

พิพากษายืน

Share