คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คนเข้าเมืองซึ่งยอมแสดงตนเป็นคนต่างด้าวและทำใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวไปแล้ว ต่อมาภายหลังจะร้องขอให้ศาลพิสูจน์สัญชาติตาม พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองอีกไม่ได้เพราะไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองแต่อย่างใดถ้าหากประสงค์จะขอให้ศาลแสดงสัญชาติก็ชอบที่จะฟ้องผู้โต้แย้งสิทธิเป็นคดีมีข้อพิพาท(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2498)

ย่อยาว

ผู้ร้อง ร้องว่าเป็นคนไทยโดยกำเนิดบิดาส่งไปศึกษายังประเทศจีนเมื่อ พ.ศ. 2477 ถึง พ.ศ. 2482 ผู้ร้องเดินทางกลับถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองก็ได้อ้างว่าเป็นคนสัญชาติไทยแต่เจ้าพนักงานแนะนำว่าถ้ายอมแสดงตนเป็นคนต่างด้าวและทำหนังสือสำคัญทะเบียนต่างด้าวเสียจะได้กลับภูมิลำเนาโดยเร็วไม่ถูกคุมตัว ผู้ร้องจึงยอม บัดนี้ผู้ร้องมีความประสงค์จะขอให้ศาลพิสูจน์สัญชาติและสั่งว่าผู้ร้องเป็นคนเกิดในประเทศไทยมีสัญชาติไทยตามกฎหมาย ตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 มาตรา 43

พนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราชคัดค้านว่าผู้ร้องเป็นคนต่างด้าว

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่พอฟังว่าผู้ร้องเป็นคนสัญชาติไทยจึงสั่งให้ยกคำร้องเสีย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ผู้ร้องร้องตาม มาตรา 43 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 แต่ได้ความว่าผู้ร้องเข้ามาตั้งแต่ พ.ศ. 2482 โดยไม่ได้ร้องขอพิสูจน์ว่าเป็นคนไทยตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2480 กลับยอมแสดงตนเป็นคนต่างด้าวและทำหนังสือสำคัญทะเบียนคนต่างด้าวไปแล้วการที่มาร้องนี้ไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองแต่อย่างใด จะมาอาศัยอำนาจตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้อนึ่งการขอให้แสดงสัญชาตินั้นจะต้องมีกฎหมายสนับสนุนให้สิทธิเช่นพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง มิฉะนั้นผู้นั้นจะต้องฟ้องผู้โต้แย้งสิทธิเป็นคดีมีข้อพิพาท (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 811/2497) เมื่อผู้ร้องไม่มีสิทธิจะร้องได้เช่นนี้ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไป ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน

Share