คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จ. ยอมให้ที่ดินเป็นทรัสต์ทำสุเหร่า จึงให้ลงชื่อสุเหร่าในโฉนดแต่เดิม แล้วเปลี่ยนจากชื่อสุเหร่าเป็นชื่อทรัสตี ได้ชื่อว่า จ. ได้สละที่ดินไปแล้ว ไม่ใช่ทรัพย์ของ จ. ทายาทของ จ. ไม่เคยครอบครองที่ดินและทรัสตีก็ไม่ได้ครอบครองแทนทายาทของจ. จ.จะขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินนั้นไม่ใช่ทรัสต์ไม่ได้
ตามฟ้องและคำให้การรับรองกันว่า ตั้งทรัสต์โดยชอบ เมื่อ พ.ศ.2443 คงเถียงกันว่า ทรัสตีทำผิดหน้าที่ควรถอดถอนหรือไม่ ศาลยกฟ้อง โจทก์จะฎีกาว่า ทรัสตีตั้งมา 50ปีแล้ว ควรสิ้นสภาพอ้างว่า เป็นข้อที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังนี้ ฎีกาโจทก์ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่โต้เถียงกันในฟ้องและคำให้การเลย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องกล่าวความว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2443 นายอีซุฟฮัซซันโจอังกุเลีย หรือ อี.เอซ. โจอังกุเลีย หรืออีสฟซองกุเลีย ได้ทำหนังสือยกที่ดินที่ถนนเจริญกรุง ตรงข้ามไปรษณีย์กลาง พระนคร พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างในที่ดินนั้นให้เป็นทรัสต์ สำหรับบำรุงรักษาสุเหร่าที่ถนนตก พระนคร และการบุญทานอันเกี่ยวกับสุเหร่านั้น ให้ทรัสตีหรือทายาทของเขาถือไว้ใช้ในทรัสต์ โดยตั้งให้นางชุ่ม นายโมหะเม็ด นายฮัซซันและนายยากบฮัดยีอาลีบาย เป็นทรัสตีจัดการทรัสต์นั้น ปรากฏตามหนังสือตั้งทรัสต์ท้ายฟ้อง นายอี.เอซ. โจอังกุเลีย หรือซองกุเลียถึงแก่กรรมมาประมาณ50 ปีเศษแล้ว และทรัสตีที่ได้รับแต่งตั้งไว้ตายไป คนที่เหลืออยู่ได้แต่งตั้งทรัสตีคนใหม่แทนที่สืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงจำเลยทั้ง 4 คนนี้ ได้รับแต่งตั้งเป็นทรัสตี เมื่อ พ.ศ. 2486 ตลอดมาจนบัดนี้แต่จำเลยทั้ง 4 ได้กระทำผิดหน้าที่วัตถุประสงค์แห่งทรัสต์โดย

(1) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2490 จำเลยได้เอาที่ดินโฉนดที่ 2310 อันเป็นที่ดินทรัสต์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย แล้วเอาโฉนดที่ดินแปลงนี้ไปประกันตัวจำเลยที่ 1 ต่อบริษัทดีคูเปอร์ยอนสตันอาจก่อให้เกิดความรับผิดชอบผูกพันแก่ที่ดินแปลงนี้ได้

(2) เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2490 จำเลยเอาที่ดินโฉนดที่ 1582ตำบลบ้านทะวาย อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร อันเป็นทรัพย์ส่วนตัวของนายอี.เอซ. หรือ อีสฟโจอังกุเลีย ซึ่งไม่ได้อุทิศให้เป็นทรัสต์และเป็นมรดกได้แก่ทายาทปกครองร่วมกันมานั้น ไปจดทะเบียนเป็นทรัสต์โดยไม่มีอำนาจ และโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอม

(3) เงินค่าเช่าและผลประโยชน์อันเป็นรายได้ของที่ดินโฉนดที่1582 จำนวน 9,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนได้ของโจทก์ 4,000 บาทจำเลยเอาใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย โดยไม่มีอำนาจ หาได้ส่งมอบให้โจทก์หรือใช้เป็นประโยชน์ตามคำสั่งในทรัสต์ไม่

(4) จำเลยทอดทิ้งที่ดินโฉนดที่ 2310 อันเป็นทรัพย์ทรัสต์ให้ว่างเปล่าอยู่ประมาณ 9 ปี โดยมิได้ปลูกสร้างทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นทั้ง ๆ ที่จำเลยได้รับเงินจากนายสุจิตรมา 6,500 บาท ขายซากตึกได้ประมาณ 20,000 บาทเศษ และได้รับค่าทดแทนจากทางการอีก 500,000 บาทเศษ

(5) จำเลยมิได้ทำบัญชีทรัพย์สิน บัญชีรายรับรายจ่ายแสดงความเป็นอยู่แห่งทรัสต์ ให้โจทก์และทายาททราบตามหน้าที่ และกระทำให้เกิดคดีฟ้องร้องกันขึ้นหลายเรื่อง แสดงว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของทรัสตี

(6) จำเลยที่ 1 มีความประพฤติเสื่อมเสียและเป็นภัยต่อกองทรัพย์ทรัสต์ โดยต้องข้อหาลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์ของบริษัทดีคูเปอร์ยอนสตัน ซึ่งจำเลยทำงานอยู่ และเอาโฉนดที่ 2310 เป็นประกันตัวไว้ ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่ใช่ญาติของนายซองกุเลียตามคำสั่งในทรัสต์ ทั้งไม่สามารถประกอบการงานในหน้าที่ทรัสตีด้วย

โจทก์เป็นทายาทมีส่วนได้เสียในกองทรัพย์ทรัสต์รายนี้ จึงขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยทั้ง 4 ออกจากหน้าที่ทรัสตี โดยให้โจทก์ทั้ง 4 เป็นทรัสตีแทนสืบไป ให้จำเลยส่งบัญชีหลักฐานอันเกี่ยวข้องกับทรัสต์แก่โจทก์ ขอให้ศาลแสดงว่า ที่ดินโฉนดที่ 2310 เป็นทรัพย์ในทรัสต์ตามกฎหมาย และถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดรายนี้ ขอให้ศาลแสดงว่า ที่ดินโฉนดที่ 1582 ไม่ใช่ทรัพย์ของทรัสต์ตามกฎหมายและให้จำเลยส่งรายได้ส่วนของโจทก์ 4,000 บาท แก่โจทก์

จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันต่อสู้ว่า ได้รับแต่งตั้งเป็นทรัสตีในทรัสต์รายนี้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2487 ไม่เคยทำผิดหน้าที่ประการใด โฉนดที่ 2310 ได้ลงชื่อจำเลยในตำแหน่งทรัสตี จำเลยที่ 1 มิได้เอาไปเป็นประกันตัวที่บริษัทดีคูเปอร์ยอนสตัน ที่ดินโฉนดที่ 1582 เป็นที่ตั้งสุเหร่า ลงชื่อทรัสตีในหน้าโฉนดตลอดมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2459 แล้ว ไม่ใช่ทรัพย์ส่วนตัวของนายอี.เอซ. ซองกุเลีย และฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ รายได้จากที่ดินแปลงนี้จำเลยได้ใช้จ่ายไปในการปลูกสร้างบำรุงสุเหร่าไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์ การที่ต้องเป็นความกับคนอื่น ๆ ก็เพื่อรักษาประโยชน์ของทรัสต์ รายได้รายจ่ายมีบัญชีเรียบร้อยเป็นหลักฐาน จำเลยไม่ได้ประพฤติเสื่อมเสีย หรือเป็นภัยต่อกองทรัพย์ทรัสต์แต่อย่างใด

ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาแล้ว เห็นว่า ที่ดินโฉนดที่ 1582 เป็นที่ตั้งสุเหร่า ลงชื่อทรัสตีของสุเหร่าเรื่อยมา ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2459 แสดงว่านายอี.เอซ. โจซองกุเลีย ได้ยกที่รายนี้ให้เป็นทรัสต์สุเหร่าแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจเกี่ยวข้อง และโจทก์ไม่ได้ครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของ คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 163, 164 โจทก์จึงเรียกร้องไม่ได้ตลอดทั้งเงินผลประโยชน์จากที่ดินรายนี้ด้วย ส่วนข้อหาอื่นจำเลยมิได้กระทำผิดหน้าที่ของทรัสตีประการใด ไม่มีเหตุอันควรจะถอดถอนทรัสตีตามคำขอของโจทก์จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว

ข้อเท็จจริงแห่งคดีได้ความว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2443นายอี. เอซ. โจซองกุเลีย ได้ทำหนังสือสำคัญตั้งทรัสต์ขึ้นฉบับหนึ่งที่สถานกงสุลเยเนอราลอังกฤษ จังหวัดพระนคร ความว่า ตัวเขาได้สร้างสุเหร่า (วัดมะหะหมัด) ขึ้นแห่งหนึ่งที่ถนนตก เพื่อประโยชน์แก่ผู้นับถือศาสนาเดียวกัน และยอมยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ถนนเจริญกรุงตรงข้ามสถานทูตอังกฤษ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นที่ทำการไปรษณีย์กลาง ก่อตั้งเป็นทรัสต์มอบให้ทรัสตีจัดการหาผลประโยชน์ไปบำรุงซ่อมแซมรักษาสุเหร่า ตลอดจนการบุญกุศลเกี่ยวกับสุเหร่านั้น โดยตั้งนางชุ่ม นายมะหะเม็ด นายฮัซซัน และนายยากบฮัดยีอาลีบายเป็นทรัสตีรุ่นแรกปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 นายอี. เอซ. โจซองกุเลียถึงแก่กรรมมาประมาณ 50 ปีแล้ว ขณะนั้นยังไม่มีโฉนดสำหรับที่ดินต่อมาได้ออกโฉนดที่ดินปรากฏว่าที่ดินที่ตั้งสุเหร่าดังกล่าว คือโฉนดที่ 1582 ตามหน้าโฉนดเดิม ลงวันที่ 30 เมษายน ร.ศ. 131 ในนามของ “สุเหร่าใหม่” แล้วภายหลังทางการแก้ไขขีดฆ่าเปลี่ยนเป็นออกให้เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2459 ในนามของนายยากบอาลีบายนานานายเอซ. อี. ซังกุเลีย ทรัสตีสุเหร่าใหม่ มีรายการแก้ทะเบียนหลังโฉนดในนามของทรัสตีคนใหม่แทนกันเรื่อยมาจนถึงจำเลยทั้ง 4 คนนี้ส่วนที่ดินที่ตั้งทรัสต์คือโฉนดที่ 2310 ออกให้นามของนายอิสฟซองกะเลีย แล้วแก้ทะเบียนหลังโฉนดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2490 เป็นชื่อของจำเลยทั้ง 4 ในนามของทรัสตีนายอิสฟซองกะเลีย

ทรัสตีคนก่อน ๆ ตายไป คนที่เหลืออยู่ได้แต่งตั้งทรัสตีคนใหม่แทนที่สืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงจำเลยทั้ง 4 คน นี้เป็นทรัสตีร่วมกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2487 เป็นต้นมา บัดนี้โจทก์ผู้เป็นบุตรและหลานของนายอี.เอซ. โจซองกุเลีย หาว่าจำเลยกระทำผิดหน้าที่ของทรัสตีเป็นที่เสื่อมเสียผลประโยชน์ของทรัสต์ จึงได้นำคดีเรื่องนี้มาฟ้อง

ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปตามลำดับ

(1) จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ฝ่าฝืนอันเป็นการผิดหน้าที่ และวัตถุประสงค์แห่งคำสั่งตั้งทรัสต์จริงหรือไม่ ชั้นเดิมโจทก์ฟ้องอ้างเหตุบกพร่องของจำเลยหลายประการ เช่นอ้างว่า เอาที่ดินของทรัสต์ไปโอนโฉนดเป็นเจ้าของเสียเอง ได้เงินผลประโยชน์จากทรัสต์ตั้ง 500,000-600,000 บาท แล้วไม่ปลูกสร้างอาคารขึ้นใหม่ในที่ดินโฉนดที่ 2310 อันเป็นที่ดินของทรัสต์เพื่อหาผลประโยชน์ต่อไป ทำให้เกิดการฟ้องร้องขึ้นหลายสำนวน ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อสำคัญทั้งสิ้นครั้นนำสืบไม่ได้ความจริงว่า เป็นความผิดของจำเลยแต่อย่างใด โจทก์กลับอ้างเหตุใหม่ฎีกาขึ้นว่า จำเลยไม่ซ่อมแซมสุเหร่าปล่อยให้หลังคาสุเหร่ารั่วประการหนึ่ง และจำเลยไม่ได้ขายอิฐปูนซากตึกที่ถูกระเบิดสลักหักพังในที่ดินโฉนดที่ 2310 โดยถือว่า จำเลยกระทำผิดและบกพร่องในหน้าที่ของทรัสตี

เรื่องปล่อยให้หลังคาสุเหร่ารั่ว โจทก์มิได้กล่าวอ้างถึงความข้อนี้มาในฟ้องเลย ไม่ใช่ประเด็นในคดีที่ศาลจะต้องวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

เรื่องจำเลยไม่ขายอิฐปูนซากตึกนั้น โจทก์ฟ้องอ้างเหตุว่าจำเลยได้ขายอิฐปูนซากตึกไปเป็นเงิน 20,000 บาท แล้วไม่เอาเงินไปปลูกสร้างอาคารขึ้นใหม่ต่างหาก เมื่อนำสืบไม่ได้ความจริงในเรื่องขายดังฟ้องนั้นแล้ว จะเปลี่ยนข้อเท็จจริงใหม่เสนอเป็นข้อฎีกาดังนี้ไม่ได้ ฎีกาของโจทก์ในเหตุ 2 ประการนี้จึงตกไป

(2) ที่ดินโฉนดที่ 1582 โจทก์อ้างว่า เป็นทรัพย์ส่วนตัวของนายอี.เอซ. โจซองกุเลีย ไม่ใช่ทรัสต์ตามกฎหมาย ข้อนี้ปรากฏตามหนังสือตั้งทรัสต์หมาย จ.5 แสดงว่า นายอี. เอซ. โจซองกุเลีย ได้ตกลงสร้างสุเหร่า (วัดมะหะหมัด) ขึ้นแห่งหนึ่งที่ถนนตกในนครกรุงเทพฯ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ร่วมศาสนาของเขา คือได้ปลูกสร้างสุเหร่าลงในที่ดินแปลงนี้เอง โฉนดที่ดินแปลงนี้เดิมลงชื่อสุเหร่าใหม่ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่สุเหร่าไม่ใช่บุคคล ทางการจึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อของนายยากบอาลีบายนานา นายเอซ. อี. ซังกุเลีย ในนามของทรัสตีสุเหร่าใหม่ ไม่เคยมีชื่อนายอี. เอซ. โจซองกุเลีย เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เลย ถึงหากความจริงที่ดินแปลงนี้จะเคยเป็นของนายอี. เอซ. โจซองกุเลียมาก่อน นายอี. เอซ. โจซองกุเลีย ก็ได้สร้างสุเหร่าและสละให้เป็นที่ดินของสุเหร่าไปช้านานแล้ว โฉนดจึงเป็นหลักฐานยืนยันว่า ที่ดินแปลงนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของนายอี. เอซ. โจซองกุเลีย ดังที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง และโจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องครอบครองประการใด ในฐานะเป็นเจ้าของ จะอ้างว่า ทรัสตีครอบครองแทนโจทก์ก็ไม่ได้ จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ตลอดจนผลประโยชน์อันเกิดจากที่ดินนั้นด้วย

(3) ทรัสต์รายนี้ตั้งมาถึง 50 ปีแล้ว เกินกำหนดอายุเวลาควรสิ้นสภาพแห่งทรัสต์ ซึ่งโจทก์เห็นว่า เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเสนอเป็นปัญหาขึ้นมาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัย

ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยเป็นที่รับรองกันว่า ทรัสต์รายนี้ก่อตั้งขึ้นโดยชอบ คงเถียงกันแต่ว่าจำเลยซึ่งเป็นทรัสตีปฏิบัติการบกพร่องและผิดต่อหน้าที่ สมควรที่ศาลจะสั่งถอดถอนได้หรือไม่เท่านั้น คดีไม่มีประเด็นเกี่ยวข้องกับปัญหาที่โจทก์เสนอเป็นข้อฎีกาขึ้นมานั้นเลย ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยเช่นว่านี้ ชั้นศาลอุทธรณ์ก็ไม่ยอมรับวินิจฉัยให้ โจทก์จะนำปัญหาที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นในคดีมาเป็นเหตุฎีกาดังนี้ไม่ได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

เหตุนี้ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน และให้ยกฎีกาของโจทก์ให้โจทก์เสียค่าทนายชั้นนี้แก่จำเลย 100 บาท

Share