คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 319/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีฟังเป็นยุติว่าจำเลยยิงผู้ตายตายแต่โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานขณะจำเลยยิงผู้ตายคงมีคำรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวนว่าผู้ตายเป็นฝ่ายบุกรุกขึ้นไปจะทำร้ายจำเลยถึงบนเรือนในเวลาค่ำคืนจำเลยจึงยิงผู้ตายตายและพยานแวดล้อมกรณีเห็นจำเลยตอนหามศพผู้ตายดังนี้แม้ชั้นพิจารณาจำเลยจะไม่ได้ต่อสู้และนำสืบว่ากระทำไปโดยป้องกันตัวก็ดี เมื่อโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานและคำรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวนก็เป็นพยานหลักฐานของโจทก์เองอยู่แล้วจึงฟังได้ตามคำรับสารภาพของจำเลยนั้นว่าจำเลยยิงผู้ตายตายเพื่อป้องกันตัวแต่เมื่อปรากฏว่า(ตามคำรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวน) ยิงผู้ตายสองนัด ผู้ตายล้มลงแล้วยังยิงซ้ำอีกดังนี้ เป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองมีทะเบียนของผู้มีชื่อโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ยิงนายหริตายโดยเจตนา และในคืนเกิดเหตุจำเลยบังอาจนำความซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นเท็จแจ้งแก่นายปันผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานว่ามีคนร้ายเข้าปล้นบ้านจำเลย จำเลยยิงผู้ร้ายตาย 1 คน รุ่งขึ้นยังบังอาจนำความซึ่งรู้ว่าเป็นเท็จแจ้งต่อนายธนวัฒน์พนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายเข้าบ้านจำเลย จำเลยยิงคนร้ายตายหนึ่งคน ซึ่งความจริงไม่มีคนร้ายเข้าปล้นบ้านจำเลย แต่จำเลยยิงนายหริตายบนบ้านจำเลย แล้วนำศพไปทิ้งไว้ที่พื้นดินนอกเขตบ้านจำเลย

จำเลยปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 249, 118 และพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ พ.ศ. 2490 มาตรา7, 72 ให้รวมกระทงลงโทษโดยให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต ปรานีลดโทษให้ตามมาตรา 59 และ 38(1) ให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ 16 ปี ปืนของกลางคืนเจ้าของ ฯลฯ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีนี้ โจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน พยานแวดล้อมกรณีฟังได้ว่าจำเลยใช้ปืนลูกซองของนางคำเหลี่ยมยิงถูกนายหริตาย โจทก์ไม่มีพยานเห็นขณะยิง คงได้ความตามคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนว่า ผู้ตายบุกรุกเข้าไปจะทำร้ายจำเลยถึงบนเรือน จำเลยจึงยิงป้องกันตัวสองนัดและยิงซ้ำอีก เป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 50, 53 และ118, 53 กับพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 ให้รวมกระทงลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี นอกนี้ยืน

โจทก์แต่ฝ่ายเดียวฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิจารณาคงฟังเป็นยุติว่า คืนโจทก์หาจำเลยใช้ปืนของนางคำเหลี่ยมยิงนายหริตายจริง ชั้นแรกอ้างว่ายิงคนร้ายที่มาปล้น ต่อมาจำเลยให้การรับสารภาพว่ายิงผู้ตายบนเรือนจำเลยจริงโดยผู้ตายบุกรุกขึ้นมาทำร้ายจำเลย จำเลยจึงยิงป้องกันตัวนอกนั้นโจทก์มีพยานแวดล้อมตอนจำเลยหามศพผู้ตายไปวางไว้ ประกอบกับคดีนี้จำเลยไม่ได้ฎีกา ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติตามคำพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าว

ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยจะยิงผู้ตายเพราะเหตุใดนั้น คงปรากฏตามคำรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวน โจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน แม้คดีนี้ชั้นพิจารณาจำเลยจะไม่ได้ต่อสู้และนำสืบว่ากระทำไปโดยป้องกันตัวก็ดี แต่เนื่องจากคดีนี้ไม่มีพยานเห็นในขณะจำเลยยิงผู้ตายและคำรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวนซึ่งแสดงถึงสาเหตุที่จำเลยยิงผู้ตายนั้นก็เป็นพยานหลักฐานของโจทก์เอง คดีคงฟังได้ (ตามคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลย) ว่าผู้ตายเป็นฝ่ายบุกรุกขึ้นไปจะทำร้ายจำเลยถึงบนเรือนนั้นในเวลาค่ำคืน จำเลยจึงยิงผู้ตายตาย แต่ปรากฏว่ายิง 2 นัดผู้ตายล้มลงแล้ว จำเลยยังยิงซ้ำอีก จึงเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ

พิพากษายืน

Share