คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและ ล. โจทก์ได้ถอนฟ้องโดยระบุในคำร้องขอถอนฟ้องว่าถอนฟ้องเนื่องจากจำเลยทั้งสองตกลงชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนโดยโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องจากจำเลยต่อไปอีก ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้แก่โจทก์แสดงว่าโจทก์ยังติดใจเรียกร้องหนี้ส่วนที่เหลือจากจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกัน มิใช่ยินยอมให้หนี้ส่วนที่เหลือระงับสิ้นไป และที่โจทก์ถอนฟ้องในคดีที่เคยฟ้องจำเลยทั้งสามก็เนื่องจากใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีผิดพลาด ถือไม่ได้ว่าโจทก์สละสิทธิในการดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสาม โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามใหม่ในเรื่องเดิมได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176
การชำระหนี้กู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคสองมาแสดงจำเลยร่วมเพียงปากเดียวมาเบิกความลอย ๆ ว่าได้ชดใช้เงินให้แก่โจทก์จึงไม่อาจรับฟังได้ในส่วนของดอกเบี้ยสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมและ ล. ระบุว่าลูกหนี้ยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปีผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินที่จำเลยทั้งสามค้ำประกันในฐานะลูกหนี้ร่วมจำนวน 285,746.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปีของต้นเงิน 248,493 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์เคยฟ้องนายเฉลิมชัย หาญฐาปนาวงศ์ และนางสาวลาภิณี หุ่นผดุงรัตน์ ต่อศาลแพ่งธนบุรี และบุคคลทั้งสองได้ชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ นอกจากนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแพ่ง แต่ได้ถอนฟ้องเพราะไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามอีกต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องโจทก์สละสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสามแล้ว จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้เรียกนายเฉลิมชัย หาญฐาปนาวงศ์เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยร่วมไม่ยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 285,746.52 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 248,493 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีส่วนจำเลยร่วมให้ยกฟ้อง

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยร่วมและนางสาวลาภิณี หุ่นผดุงรัตน์ ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์มีจำเลยทั้งสามเป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีให้ชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวต่อศาลแพ่งธนบุรี แต่ได้ถอนฟ้องไป ปรากฏตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 2471/2533 ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ส่วนที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระจากจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีต่อศาลแพ่ง แต่ได้ถอนฟ้องไปอีกปรากฏตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 2136/2536 แล้วโจทก์ได้มาฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2536

มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามหรือไม่ ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณี หุ่นผดุงรัตน์ แล้วถอนฟ้องนั้นแสดงว่าโจทก์ไม่ติดใจที่จะเรียกร้องหนี้ส่วนที่เหลืออีก จำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิด และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นอีกคดีหนึ่งและถอนฟ้องไปอีก ต้องฟังว่าโจทก์สละสิทธิในการดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามแล้วนั้น เห็นว่าในคำร้องขอถอนฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 2471/2533 ของศาลแพ่งธนบุรี ได้ระบุว่า เนื่องจากจำเลยทั้งสองตกลงชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนโดยโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องจากจำเลยทั้งสองต่อไปอีกโจทก์จึงขอถอนฟ้องต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกัน โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีกู้ยืมเงินไปแล้วชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้คิดถึงวันที่ 3 กันยายน 2535คงเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวน 248,493 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 2136/2536 ของศาลแพ่งแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังติดใจเรียกร้องหนี้ส่วนที่เหลือจากจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีอยู่ หาใช่ยินยอมให้หนี้ส่วนที่เหลือระงับสิ้นไปไม่ ทั้งในคดีดังกล่าวจำเลยทั้งสามก็มิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องหนี้ส่วนที่เหลือเพราะได้ถอนฟ้องคดีหมายเลขแดงที่ 2471/2533 ไปแล้วด้วย คงต่อสู้เพียงว่าการที่โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีเป็นคดีดังกล่าวโดยมิได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นการสละสิทธิที่จะฟ้องจำเลยทั้งสาม โจทก์มาฟ้องอีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ และจำเลยร่วมกับนางสาวลาภิณีได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เห็นได้ว่าไม่มีพยานหลักฐานใดสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยทั้งสามที่ว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องหนี้ส่วนที่ยังค้างชำระจากจำเลยทั้งสาม ทั้งการถอนฟ้องคดีหมายเลขแดงที่ 2471/2533 ก็มิใช่ข้อสันนิษฐานหรือมีผลให้ต้องถือตามข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยทั้งสามดังที่ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยไว้ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อนึ่ง การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแพ่งแล้วถอนฟ้องตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 2136/2536 ก็ปรากฏจากคำร้องขอถอนฟ้องคดีดังกล่าวของโจทก์ว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีนี้แก่จำเลยต่อไปจึงขอถอนฟ้อง เมื่อฟังประกอบกับคำเบิกความของนายสมเดช รามสูต พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์ที่ว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง คดีดังกล่าวเนื่องจากใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีผิดพลาดแล้ว ไม่อาจฟังว่าโจทก์สละสิทธิในการดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามดังที่จำเลยทั้งสามอ้างและการถอนฟ้องกรณีดังกล่าวโจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามใหม่ในเรื่องเดิมได้ ตามนัยของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176

มีปัญหาข้อต่อไปว่า จำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีได้ชำระหนี้เงินกู้ยืมให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ และจำเลยทั้งสามต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปีแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสามมีภาระการพิสูจน์ว่า จำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โดยต้องมีหลักฐานตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสองกำหนดไว้มาสนับสนุนข้ออ้างข้อเถียงของตนคงมีแต่จำเลยร่วมเพียงปากเดียวมาเบิกความลอย ๆ ว่า พยานได้ชดใช้เงินให้แก่โจทก์แต่จำไม่ได้ว่าได้ชำระหนี้ให้เต็มตามฟ้องของโจทก์ (คดีหมายเลขแดงที่ 2471/2533 ของศาลแพ่งธนบุรี) หรือไม่ ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีได้ชำระหนี้เงินกู้ยืมแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ส่วนเรื่องดอกเบี้ยนั้นในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณี ระบุไว้ชัดแจ้งว่าลูกหนี้ยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี จำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share