คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3918/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งหรือใช้ราคาแทน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยผู้เดียว โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทแทนจำเลยขอให้บังคับโจทก์ถอนชื่อออกจากการเป็นเจ้าของรวม ประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำฟ้องแย้งจึงมีว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทหรือไม่ คำฟ้องและคำฟ้องแย้งจึงเกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน ชอบที่จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์2530 โจทก์จำเลยร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 120732 เนื้อที่ 50 ตารางวา ในราคา300,000 บาท ซึ่งรวมราคาบ้านที่จะปลูกสร้างในภายหลังไว้ด้วย ในวันเดียวกันโจทก์จำเลยร่วมกันกู้ยืมเงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์จำนวน 300,000 บาท เพื่อนำเงินมาชำระราคา โดยร่วมกันจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวเป็นประกัน โจทก์จำเลยร่วมกันครอบครองอาศัยในบ้านและที่ดินดังกล่าวและโจทก์ผ่อนชำระหนี้ให้แก่ธนาคารตลอดมา ต่อมาจำเลยขัดขวางไม่ให้โจทก์กับครอบครัวอาศัยในบ้านและที่ดินดังกล่าวโจทก์ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งปัจจุบันมีราคาประมาณ1,600,000 บาท ให้แก่โจทก์ตามส่วนที่โจทก์เป็นเจ้าของรวม หรือชำระเงิน 8,000,000บาท ให้แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 120732ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่อาจแบ่งหรือบังคับได้ให้จำเลยชำระเงิน 800,000 บาทแก่โจทก์หรือขอศาลมีคำสั่งให้ขายโดยประมูลราคาระหว่างโจทก์จำเลยหรือขายทอดตลาดตามลำดับ

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง จำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากจ่าสิบตำรวจณรงค์ บุญชื่น แต่ผู้เดียวและว่าจ้างจ่าสิบตำรวจณรงค์ให้ปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาทในราคารวม 485,000 บาท โดยผ่อนชำระเงินไปก่อนเป็นจำนวน185,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยขอกู้ยืมเงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์จำนวน300,000 บาท เพื่อชำระราคาส่วนที่เหลือ แต่ตามระเบียบของธนาคารอัตราเงินเดือนที่จำเลยได้รับในขณะนั้นธนาคารไม่ยินยอมให้จำเลยกู้ยืมเงินจากธนาคารตามจำนวนดังกล่าว โจทก์ซึ่งรับราชการเป็นอาจารย์ในสังกัดเทศบาลเมืองบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรีจึงเข้าเป็นผู้กู้ยืมร่วมกับจำเลยเพื่อให้จำเลยกู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าวจากธนาคารได้ จำเลยได้นำเงินที่กู้ยืมจากธนาคารดังกล่าวไปชำระราคาส่วนที่เหลือให้แก่จ่าสิบตำรวจณรงค์และจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลย แต่เนื่องจากธนาคารมีระเบียบว่าผู้กู้ยืมเงินร่วมกันต้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกันโจทก์จึงมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลย จำเลยเป็นผู้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่ธนาคารลำพังคนเดียว จำเลยเคยยืมเงินนางสาวอิสริยา สิริวิทยาวรรณ ซึ่งเป็นบุตรสาวโจทก์และเป็นบุตรบุญธรรมจำเลยเป็นเงินเดือนละ 2,000 บาท เป็นเวลา 1 ปี และยืมเงินโจทก์สองครั้งเป็นเงินรวม100,000 บาท ต่อมาจำเลยขอชำระหนี้ให้แก่นางสาวอิสริยาและโจทก์ และขอให้โจทก์ถอนชื่อออกจากการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ไม่ยินยอม ต่อมาจำเลยชำระหนี้ให้แก่ธนาคารและไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์ถอนชื่อออกจากการเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 120732ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี หากโจทก์ไม่ปฏิบัติก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์

โจทก์ให้การฟ้องแย้งว่า ฟ้องเดิมเป็นการขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม จำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากโฉนดจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ จะฟ้องแย้งหาได้ไม่ ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้ถอนชื่อโจทก์ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 120732ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกมีว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมหรือไม่คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยอ้างสิทธิว่าเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างร่วมกับจำเลย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งหรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 800,000 บาท จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลยผู้เดียว โจทก์มิได้เป็นเจ้าของรวมแต่มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทแทนจำเลยและขอให้บังคับโจทก์ถอนชื่อออกจากการเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท ประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำฟ้องแย้ง จึงมีว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ คำฟ้องและคำฟ้องแย้งจึงเกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน ชอบที่จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การได้ ไม่จำต้องฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก”

พิพากษายืน

Share