คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2604/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 ให้อำนาจเจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมด การใช้สิทธิดังกล่าวรวมถึงการใช้สิทธิทางศาลด้วย เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งในที่ดินพิพาท โจทก์แต่ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจากเจ้าของรวมคนอื่นแต่อย่างใด ดังนั้น หนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีจะปิดอากรแสตมป์หรือไม่ และนาง ล. กับนาง ส. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนอื่นจะมอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยได้รับความยินยอมจากสามีหรือไม่ จึงมิใช่ข้อสาระสำคัญจักต้องวินิจฉัย โจทก์มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 766,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ766,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนทรัพย์สินและขนวัสดุต่าง ๆรวมทั้งฐานราก พื้นซีเมนต์ อิฐหัก กากปูนออกไปและส่งมอบที่ดินที่เช่าแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินที่เช่าอีก

จำเลยให้การว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีหนังสือมอบอำนาจมิได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกพร้อมส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 23081 ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องอีก และให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 25,000 บาท นับแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกและส่งมอบหรือโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ67,500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งในชั้นนี้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 23081 ตำบลบางโฉลงอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ร่วมกับนายอำนาจ สมนึก นายนิพนธ์ สมนึก นางสาวละออ แจ้งสว่าง หรือนางละออ พระวิเชนทร์ นางสาวรำพึง สมนึกหรือนางรำพึงทศคุย และนางแสงเดือน มุสิกรรมณี จำเลยเช่าที่ดินบางส่วนของโฉนดดังกล่าวเป็นเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2533 ถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2536ค่าเช่าปีละ 200,000 บาท เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยเพิกเฉย คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และบุคคลอื่นอีก 5 คน เจ้าของกรรมสิทธิ์ทุกคนมีความรับผิดชอบและผลประโยชน์ในที่ดินพิพาทเท่ากัน การใช้สิทธิทางศาลของเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนใดคนหนึ่งจะกระทำโดยลำพังมิได้ ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นก่อน เมื่อหนังสือมอบอำนาจของเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นที่มอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินคดีมิได้ปิดอากรแสตมป์ การมอบอำนาจย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ และนางละออ พระวิเชนทร์ นางรำพึง ทศคุย กับนางแสงเดือน มุสิกรรมณี ต่างเป็นหญิงมีสามี บุคคลดังกล่าวมิได้รับความยินยอมจากสามีในการมอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินคดีนี้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359ให้อำนาจเจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมด การใช้สิทธิดังกล่าวรวมถึงการใช้สิทธิทางศาลด้วย ปรากฏว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งในที่ดินพิพาท โจทก์แต่ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจากเจ้าของรวมคนอื่นแต่อย่างใด ดังนั้นหนังสือมอบอำนาจตามฟ้องจะปิดอากรแสตมป์หรือไม่ และนางละออ นางรำพึง กับนางแสงเดือนจะมอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยได้รับความยินยอมจากสามีหรือไม่ จึงมิใช่สาระสำคัญจักต้องวินิจฉัย โจทก์มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…”

พิพากษายืน

Share